“สมาคมอุตสาหกรรมฯ” แนะรัฐอัดมาตรการโรงงาน-คุมราคาเหล็กขาดตลาด
นางสาวลิซ่า งามตระกูลพานิช นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กรณีที่เหล็กขาดตลาด ส่งผลให้ 3 โรงงานขนาดใหญ่ปิดนั้น มองว่าตั้งแต่เกิดเหตุตึกสตง.ถล่ม มีการให้ข่าวและพูดกันมากถึงคุณสมบัติเหล็กตัว T และเหล็ก non-T ทำให้บางหน่วยงานและเจ้าของงานเอกชนบางแห่งมีความไม่แน่ใจว่าควรจะใช้เหล็กชนิดใด
ทั้งนี้จากประเด็นดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ผลิตไม่กล้าผลิตเหล็กเข้าสู่ตลาดเต็มกำลังเหมือนเดิม รวมทั้งมีการปิดโรงงานที่ใช้กระบวนการผลิตแบบเตา If ทำให้เหล็กขาดแคลน และมีราคาสูงขึ้นกว่า 15% นับตั้งแต่เกิดเหตุตึกสตง.ถล่ม
อย่างไรก็ดีในข้อเท็จจริงเหล็ก T เป็นเหล็กที่ใช้กันมายาวนาน และไม่เคยเกิดปัญหาใดๆ ส่วนเหล็ก non-T เป็นเหล็กที่ต้องสั่งผลิตและมีราคาสูงกว่าเหล็กตัว T ประมาณ 1-1.25 บาท ต่อกิโลกรัม
ขณะเดียวกันในงานภาครัฐ หน่วยงานผู้ออกแบบควรจะต้องระบุให้ชัดเจนว่าให้ใช้เหล็กชนิดใดและให้ราคาที่สอดคล้องกับชนิดของเหล็กที่ระบุให้ใช้
นอกจากนี้หากมีประเด็นว่าเหล็กที่ใช้กระบวนการผลิตแบบ If ไม่ได้คุณภาพ ภาครัฐก็ควรมีมาตรการในการจัดการโรงงาน ที่ใช้เตา IF ให้ปรับ ปรุงคุณภาพ และหากโรงงานดำเนินการแล้วก็ควรให้กลับมาเปิดดำเนินการผลิตได้ตามปกติ
นางสาวลิซ่า กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นที่ภาครัฐมีการอนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.5 แสนล้านบาทนั้น หากงบประมาณในส่วนนี้เข้ามาสู่อุตสาหกรรมก่อสร้าง เงินจะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้เร็วขึ้นและถึงคนจำนวนมาก เพราะอุตสาหกรรมก่อสร้างสามารถจ้างงานประมาณ 4 ล้านคน
“นอกจากนี้ยังไปถึงผู้ผลิตและระบบขนส่งทั้งหมดด้วย ย่อมเป็นผลดี อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมก่อสร้างมีปัจจัยลบ กดดันอยู่เยอะ คงต้องดูกันต่อไปว่าเงินส่วนนี้จะเข้าไปที่ไหนบ้าง” นางสาวลิซ่า กล่าว