คลัง ชี้ภาษี 19% หนุนไทยได้เปรียบคู่แข่ง ดึงลงทุน-เพิ่มแรงส่ง GDP
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ผลการเจรจาอัตราภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ที่นำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมกับหน่วยงานรัฐหลายฝ่าย ได้ข้อสรุปเป็นที่น่าพอใจ โดยไทยได้รับอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่ 19% ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ และ “ดีกว่าเวียดนามเล็กน้อย”
โดยท่านพิชัย และทีมเจรจาทำงานกันอย่างละเอียด รอบด้าน ผลที่ได้ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะทำให้ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบในเวทีการค้า
โดยโครงสร้างภาษีใหม่นั้นมีสองอัตรา ได้แก่ อัตรา 19% สำหรับสินค้าที่ผลิตในประเทศ และอัตราสูงถึง 40% สำหรับสินค้าที่เป็นเพียงการส่งผ่าน (Transshipment) ซึ่งไทยได้เปรียบชัดเจน เพราะมีการผลิตในประเทศสูง มีโครงข่ายซัพพลายเชนเข้มแข็ง ทำให้แข่งขันได้ดีกว่าหลายประเทศ
“สินค้าที่ผลิตในประเทศของไทย จะถูกเก็บภาษีในอัตรา 19% ซึ่งทำให้ไทยมีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบเหนือคู่แข่งในภูมิภาค โดยเฉพาะเวียดนามที่ต้องเผชิญภาษีในอัตราสูงกว่า เนื่องจากมีสัดส่วนการผลิตในประเทศต่ำกว่า ซึ่งช่วยส่งเสริมการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้มากขึ้น”
นอกจากนี้ การกำหนดสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ (RVC) จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมการผลิตภายใน ซึ่งไทยมีแผนพัฒนาการใช้ local content เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในมุมเศรษฐกิจมหภาค นายเผ่าภูมิ ระบุว่า ข้อตกลงนี้ส่งผลบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ปรับคาดการณ์ GDP ปี 2568 จาก 2.1% เป็น 2.2% ขณะที่ IMF ก็ปรับเพิ่มจาก 1.8% เป็น 2.0% และมีแนวโน้มที่ตัวเลข GDP จะขยับเพิ่มขึ้นอีกในระยะต่อไป
“สิ่งที่เราเคยกังวลในเรื่องภาษี ตอนนี้คลี่คลายแล้ว และยังพลิกมาเป็นจุดแข็งของไทยด้วยซ้ำ จึงคาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะมีแรงส่งที่ดีขึ้น GDP ไตรมาส 2/2568 ที่จะประกาศโดยสภาพัฒน์ฯ ว่าน่าจะออกมาดีกว่าคาดการณ์"
สำหรับผลกระทบจากภาวะชายแดน นายเผ่าภูมิระบุว่า อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ขณะที่รัฐบาลเตรียมออกมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบ เช่น มาตรการ Soft Loan และการพักชำระหนี้ โดยเฉพาะผู้ส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ
ในส่วนของธนาคารเฉพาะกิจอย่าง EXIM Bank ได้เริ่มดำเนินการให้ความช่วยเหลือแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ ยืดระยะเวลาชำระ และลดดอกเบี้ย รวมถึงเพิ่มสินเชื่อเพื่อเป็นทุนหมุนเวียน และการประกันการส่งออกเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ประกอบการ
นายเผ่าภูมิยังระบุว่า งบกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจัดสรรไว้ 157,000 ล้านบาท เหลือใช้ได้อีก 42,000 ล้านบาท ซึ่งจะถูกนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง รวมถึงกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่กำลังพิจารณาขนาดและแนวทางใช้งานเพิ่มเติม
“แม้จะไม่รุนแรงเท่าที่คาดไว้ในตอนแรก แต่ภาคธุรกิจยังมีภาระที่ต้องรับมือ รัฐบาลจะไม่ทอดทิ้ง พร้อมดูแลผ่านมาตรการที่ยืดหยุ่นและทันต่อสถานการณ์”