รักความสงบ จบที่ “ลุงตู่”
สถานการณ์ทางการเมืองไทยในเวลานี้เปรียบเสมือนไฟลามทุ่งที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยมีจุดเริ่มต้นจาก “คลิปเสียงพิฆาต” ระหว่างแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงกับสมเด็จฮุน เซน ผู้นำตัวจริงของกัมพูชา ซึ่งถูกเปิดเผยโดยฝั่งกัมพูชา จุดชนวนความไม่พอใจในสังคมไทย และกลายเป็นชนวนสำคัญที่อาจนำไปสู่การกดดันให้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี
เสียงสนทนาที่เต็มไปด้วยถ้อยคำอ่อนไหว รวมถึงการพาดพิงถึง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ว่า "ไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับเรา" ทำให้ประชาชนและกลุ่มการเมืองมองว่านี่คือการละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง และเป็นการแทรกแซงอธิปไตยของชาติในประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา
ผลกระทบไม่หยุดแค่ในเชิงสังคม แต่ขยายวงถึงการเมือง เมื่อกลุ่ม 36 ส.ว. ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าแพทองธารขาดความซื่อสัตย์สุจริตอย่างร้ายแรง ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์รับคำร้อง พร้อมมติ 7 ต่อ 2 ให้แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย ซึ่งอาจใช้เวลานานถึง 3 เดือน
พรรคเพื่อไทยพยายามป้องกันการสูญเสียอำนาจ ด้วยการปรับ ครม. และตั้งรัฐบาล "อิ๊งค์ 1/2" ให้แพทองธารนั่งเก้าอี้ รมว.วัฒนธรรม ควบอีกตำแหน่ง แต่ในเชิงการเมืองแล้ว เก้าอี้นี้เป็นเพียง “ที่หลบภัย” ชั่วคราวในช่วงเวลาที่ไฟกำลังลุกลาม
ความเป็นผู้นำของแพทองธารกำลังถูกตั้งคำถามอย่างหนัก โดยเฉพาะในบริบทที่ปัญหาเศรษฐกิจ ความมั่นคง และสังคมกำลังรุมเร้าประเทศ ขณะที่ฝั่งกัมพูชาก็รุกเร้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งสมเด็จฮุน เซน และ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ต่างแสดงท่าทีแข็งกร้าว และยังกระพือกระแสกดดัน ด้วยการขู่ว่ายังมี “คลิปลับ” อีกมากที่พร้อมเปิดเผย
สถานการณ์นี้ ทำให้ “พ่อ-ลูกชินวัตร” ถูกกดดันอย่างหนัก และความไว้วางใจจากประชาชนเริ่มสั่นคลอนอย่างชัดเจน พรรคประชาชนจึงฉวยจังหวะเรียกร้องให้ยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ ขณะที่พรรคภูมิใจไทยและพรรคพลังประชารัฐ ก็เตรียมเดินหน้าเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ
การชุมนุมของ “กลุ่มรวมพลังแผ่นดิน” เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ได้แสดงให้เห็นพลังของมวลชนที่เรียกร้องให้แพทองธารลาออกอย่างชัดเจน พร้อมกระแสที่เริ่มพูดถึงความเป็นไปได้ในการมี “นายกฯ คนนอก” หรือแม้แต่ “รัฐประหาร” แม้แนวโน้มของทหารยุคนี้จะไม่เอาด้วยก็ตาม
แต่หากแพทองธารต้องพ้นจากตำแหน่งจริง โจทย์ใหญ่ต่อมาคือใครจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่? ชื่อของอนุทิน ชาญวีรกูล จากภูมิใจไทย ถูกพูดถึงมากขึ้น ขณะที่พรรคประชาชนยืนกรานจะไม่ร่วมจับมือ และเดินหน้าสู่การเลือกตั้งใหม่
อย่างไรก็ตาม อีกชื่อหนึ่งที่เริ่มกลับเข้าสู่สมรภูมิทางการเมืองคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ “ลุงตู่” อดีตนายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตของพรรครวมไทยสร้างชาติ จากผลโพลล่าสุดของนิด้าโพล (29 มิ.ย.) ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้รับความนิยมอยู่อันดับ 3 ของแคนดิเดตนายกฯ รองจากผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาชน
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึง “ความคิดถึงลุงตู่” ที่หวนกลับมาในใจของประชาชนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองไร้ผู้นำที่มั่นคง การเมืองสับสน และปัญหาประชาชนท่วมท้นรอบด้าน
แม้ไม่มีรัฐประหาร ไม่มีรถถังบนท้องถนน แต่ “ไฟการเมือง” ก็ยังลุกโชนและสร้างความเหนื่อยหน่ายให้ประชาชนอย่างยิ่ง ความสิ้นหวัง ความไร้เสถียรภาพ และความไร้ทิศทาง กลายเป็นปัจจัยที่ทำให้เสียงเรียกร้องให้ “ลุงตู่กลับมา” ดังขึ้นเรื่อย ๆ
การเมืองไทยในวันนี้จึงอาจไม่ได้ต้องการผู้นำที่มาจากชัยชนะในเกมเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่อาจต้องการใครบางคนที่ประชาชนรู้สึกว่า “มั่นใจได้” และ “ไว้ใจได้” ในยามวิกฤต
และนาทีนี้ คนคนนั้น…ก็อาจจะเป็น “ลุงตู่” อีกครั้งก็เป็นได้
#ลุงตู่ #ประยุทธ์ #แพทองธาร #คลิปเสียงฮุนเซน #เพื่อไทย #พรรคประชาชน #ภูมิใจไทย #ยุบสภา #นายกคนใหม่ #รัฐประหาร #รวมพลังแผ่นดิน #สถานการณ์การเมือง #การเมืองไทย #ชินวัตร #ความมั่นคง #ศาลรัฐธรรมนูญ