คลัง ชี้เศรษฐกิจไทยเดือน พ.ค. มีแรงหนุนจากการส่งออกยังโตสูง ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 แม้นักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอลง
BTimes
อัพเดต 27 มิถุนายน 2568 เวลา 20.46 น. • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • อัพเดตข่าวหุ้น ธุรกิจ การเงิน การลงทุน การตลาด การค้า สุขภาพ กับ บัญชา ชุมชัยเวทย์ - BTimes.Bizนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนพฤษภาคม 2568 ว่า “สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤษภาคม 2568 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 อย่างไรก็ดี จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศชะลอตัวลง ขณะที่จำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ทั้งนี้ ยังจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในด้านต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป”
โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณชะลอตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน: โดยปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนพฤษภาคม 2568 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ -1.2 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -7.0 รายได้เกษตรกรที่แท้จริง ในเดือนพฤษภาคม 2568 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -4.7 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ในเดือนพฤษภาคม 2568 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 54.2 จากระดับ 55.4 ในเดือนก่อน เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า รวมถึงความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ อย่างไรก็ดี ปริมาณรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ในเดือนพฤษภาคม 2568 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 8.7 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 2.5
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณทรงตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน (เบื้องต้น) ในเดือนพฤษภาคม 2568 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 36.2 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 6.5 ขณะที่ปริมาณรถยนต์เชิงพาณิชย์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนพฤษภาคม 2568 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ –10.9 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -5.8
มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน: โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 31,044.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 ที่ร้อยละ 18.4 (ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 38 เดือน นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 เป็นต้นมา) และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัวที่ร้อยละ 20.3 ตามการขยายตัวของสินค้าในหมวดเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ โดยขยายตัวร้อยละ 104.0 41.4 34.8 และ 15.0 ตามลำดับ นอกจากนี้ ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 24.9 15.5 และ 10.2 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี การส่งออกข้าว ยางพารา และเครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ปรับตัวลดลง ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นในตลาดสหรัฐฯ จีน และอินเดีย ขยายตัวร้อยละ 35.1 28.0 และ 27.5ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ตลาดญี่ปุ่น และตลาดอาเซียน-5 ลดลงร้อยละ -0.9 และ -0.3 ตามลำดับ
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน โดยเฉพาะบริการด้านการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอตัว ขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศยังคงขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน: โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนพฤษภาคม 2568 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 2.27 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ -13.9 และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -2.5 ขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศมีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยในเดือนพฤษภาคม 2568 จำนวน 22.9 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 1.9 และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ 3.0 ขณะที่ภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ในเดือนพฤษภาคม 2568 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 4.3 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -1.0 ตามการเพิ่มขึ้นในหมวดพืชผลสำคัญ อาทิ ข้าว ยางพารา และผลผลิตในหมวดปศุสัตว์ เป็นต้น อย่างไรก็ดี ผลผลิตมันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพด ลดลงจากเดือนก่อน สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนพฤษภาคม 2568 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 88.1 จากระดับ 89.9 ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยกดดันจากความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดน ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ และความกังวลจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของไทย ในเดือนพฤษภาคม 2568 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 51.2 จากระดับ 49.5 ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากคำสั่งซื้อสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้น
เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี: สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ร้อยละ -0.57 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 1.09 ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ร้อยละ 64.8 ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2568 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 257.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
สถานการณ์เศรษฐกิจการเงินโลกปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า: สะท้อนจาก ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของทั่วโลก (Global Composite PMI) ในเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 51.2 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 50.8 จุด และดัชนีอยู่สูงกว่าระดับ 50.0 จุด บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกมีทิศทางขยายตัวเร่งขึ้น อย่างไรก็ดี ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของทั่วโลกภาคการผลิต (Global Manufacturing PMI) ในเดือนพฤษภาคม 2568 ปรับลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 49.6 จุด จากระดับ 49.8 จุด ในเดือนก่อนหน้า โดยดัชนีมีการปรับตัวลดลงในหลายดัชนีย่อย เช่น ยอดคำสั่งซื้อใหม่ ผลผลิต ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของทั่วโลกภาคบริการ (Global Service PMI) 52.0 จุด ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ระดับ 50.9 จุด โดยฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือนที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 68 และอยู่สูงกว่าระดับ 50 จุด ด้านสถานการณ์การท่องเที่ยวทั่วโลกปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อและทิศทางการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศต่าง ๆ ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด สำหรับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน และมาตรการการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ถือเป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกที่ยังคงต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
ภาพรวมภาวะตลาดการเงินไทยล่าสุด เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวบางส่วน: โดยเฉพาะในตลาดทุน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มนักลงทุนบุคคลทั่วไปในประเทศที่กลับเข้ามาซื้อสุทธิต่อเนื่อง โดยในเดือนมิถุนายน (ข้อมูลสะสมถึงวันที่ 23 มิถุนายน 2568) นักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิรวมกว่า 24,924.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากเดือนก่อนหน้าที่ซื้อสุทธิเพียง 11,830.53 ล้านบาท และทำให้ยอดซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปี (YTD) ขยับขึ้นแตะระดับ 112,167.07 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของภาคครัวเรือนต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ขณะที่กลุ่มนักลงทุนต่างชาติแม้จะมีการซื้อสุทธิในวันเดียวกันที่ 913.35 ล้านบาท แต่ยอดสุทธิทั้งเดือนยังคงติดลบที่ -10,597.33 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม แรงขายเริ่มชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคมที่ขายสุทธิกว่า -16,147.94 ล้านบาท สำหรับตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิ -1,317.65 ล้านบาท ในวันที่ 23 มิถุนายน 2568 และสะสมทั้งเดือนขายสุทธิรวม -20,916.60 ล้านบาท สะท้อนภาวะปรับพอร์ตระยะสั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณายอดสะสมตั้งแต่ต้นปี นักลงทุนต่างชาติยังคงถือสถานะผู้ซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ที่ 40,106.73 ล้านบาท ซึ่งบ่งชี้ความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพด้านการคลังและความมั่นคงของพันธบัตรรัฐบาลไทยในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอนและแนวนโยบายการเงินของประเทศหลักซึ่งยังคงตึงตัว