"กรมส่งเสริมวัฒนธรรม" เดินหน้าขับเคลื่อนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมภาคตะวันออก "กลุ่มชาติพันธุ์ชอง-เสื่อกกจันทบูร"
กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม โดยสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “การบริหารจัดการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ประจำปีงบประมาณ 2568” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็ก เยาวชนและประชาชนเกิดความตระหนักรับรู้ในคุณค่าและความสำคัญ ตลอดจนมีส่วนร่วมในการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมในชุมชนของตนเอง เพื่อส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนงานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชุมชนให้มีประสิทธิภาพ นำไปสู่การพัฒนาต่อยอดอย่างยั่งยืน พร้อมกันนี้ยังได้เพื่อส่งเสริมและต่อยอดการสร้างมูลค่าเพิ่มห้ำกับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมให้เกิดประสิทธิผลกับชุมชนเจ้าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้คัดเลือกมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมทั้งหมด 11 รายการ 4 ภูมิภาค สำหรับภาคตะวันออก มีรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ประกอบด้วย 1.วิถีภูมิปัญญากลุ่มชาติพันธุ์ชอง จังหวัดตราด 2.เสื่อกกจันทบูร จังหวัดจันทบุรี
นางสาวกิตติพร ใจบุญ ผู้อำนวยการกองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า งานเสวนาในครั้งนี้ ถือว่ามีความผูกพันและใกล้ตัวกับชีวิตของทุกคนที่เป็นส่วนหนึ่งในการสืบสานและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดยลักษณะของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมถือเป็นหนึ่งประเภทของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ขององค์การยูเนสโก เกี่ยวข้องกับความรู้ ความเชื่อ ประเพณี วิถีชีวิตจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งมีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น หากไม่มีการรักษาก็จะสูญหายไปได้ ท่ามกลางพลวัฒน์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สำหรับ เสื่อกกจันทบูร มีความสำคัญและโดดเด่น โดยเสนอเข้ามาในลักษณะงานช่างฝีมือ นอกจากงานช่างฝีมือแล้ว เสื่อกกจันทบูรยังมีลักษณะของความรู้และความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและจักรวาล แต่ในปัจจุบันนี้ เสื่อกกจันทบูร มีความเสี่ยงอยู่พอสมควร เช่น เรื่องต้นกก ซึ่งเป็นแหล่งผลิตที่หาได้น้อย ช่างทอ ที่เหลือน้อย รวมถึงช่างทำฟืมทอผ้า ที่หายากมาก แทบจะไม่มีใครสืบทอด สาเหตุของปัญหาเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากรายได้ที่อาจไม่เพียงพอต่อยุคเศรษฐกิจปัจจุบัน แม้ผลิตภัณฑ์จะทนทานก็ตาม
“เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหา ต้องมีนักออกแบบผลิตภัณฑ์เข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่า อาจจะไปถึงระดับสูง หรือ high-end และมีการตลาดที่สร้างรายได้ต่อชิ้นงานสูงขึ้น รวมถึงบทบาทของสถาบันการศึกษาในพื้นที่และการร่วมมือกันระหว่างคนในจังหวัด ผู้สืบทอด ช่างทอ หอการค้า และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้ามาร่วมกันระดมความคิดในการต่อยอดให้เสื่อกกจันทบูร มีคุณค่าและขับเคลื่อนงานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมได้มากขึ้น” นางสาวกิตติพร กล่าว
นายสมชาย เปรื่องเวช ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนนิเวศพิพิธภัณฑ์ชอง บ้านช้างทูน กล่าวว่า กลุ่มชาติพันธุ์ชองในภาคตะวันออกยังเหลืออยู่ประมาณ 3-4 กลุ่มกระจายอยู่ในจังหวัดตราด จันทบุรี ระยอง แม้จะเรียกชื่อต่างกัน แต่ก็เป็นชาติพันธุ์เดียวกัน มีวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะชองในตำบลช้างทูน ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไว้ค่อนข้างเหนียวแน่น ซึ่งวิถีชีวิตบางส่วนของชาวชองยังมีการสืบทอดและปฏิบัติกันอยู่ เช่น การทรงผีหิ้ง ทรงผีเทวดา ประเพณีลอยเรือตะโก การจักสาน หรือแม้แต่มีอาหารท้องถิ่นบางอย่างที่ยังทำกันอยู่ เช่น ปลาร้าชอง แกงไก่กล้วยพระ แกงลูกสำรอง โดยมีการผสมผสานสมุนไพรเพื่อให้มีประโยชน์ ขณะเดียวกันก็มีภูมิปัญญาสมุนไพรที่ยังมีการสืบทอดอยู่บ้าง เช่น การรักษาอาการเจ็บป่วย การพ่น การเป่า สมุนไพรเพื่อรักษาโรคงูสวัด โดยเฉพาะสมุนไพรชองระอา ที่นำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ทา ถู นวด เพราะชาวชองมีความเชื่อว่า ชองระอา สามารถถอนพิษยาเมา ยาเบื่อ ยาสั่ง ป้องกันคุณไสย คุณผี คุณคน ลมพัดลมเพ และพกติดตัวเป็นเครื่องรางได้ มีรสชาติขมช่วยแก้ความร้อนในร่างกายทำให้ถอนพิษได้ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ มีบางประเพณีที่หายไปแล้วตามกาลเวลา เช่น ประเพณีทำขวัญข้าวซึ่งเคยทำกันในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 โดยมีการเอาแรงช่วยกันทำขวัญข้าวแต่ละบ้านพร้อมเป็นวันที่ห้ามเข้าป่า ห้ามทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการล่าสัตว์ พร้อมย้ำว่า ภูมิปัญญาชาวชอง ต้องได้รับการประยุกต์ให้มีความทันสมัยมากขึ้น
ขณะที่อาจารย์ชัชวาลย์ มากสินธ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี กล่าวว่า สิ่งท้าทายที่สำคัญของกลุ่มชาติพันธุ์ชองในตอนนี้คือ การส่งต่อวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น เพราะกลุ่มชาติพันธุ์ชาวชองในอดีตมักจะปกปิดตนเอง จากหลายปัจจัย ทำให้เกิดความรู้สึกภูมิใจที่เป็นชาวชองลดลง ไม่ได้เห็นถึงคุณค่าถึงความเป็นชาติพันธุ์มากเท่าไหร่นัก ดังนั้นมองว่าการให้เด็กรุ่นใหม่มาเรียนรู้ความเป็นชาวชองในด้านต่าง ๆ ไม่ได้เป็นเรื่องยากเพราะเป็นสิ่งภายนอก แต่สิ่งที่สำคัญคือจะทำอย่างไรให้เกิดความภาคภูมิใจจากภายใน สิ่งที่ทำลงไปมีความหมาย เกิดความเข้าใจถึงความเป็นชาวชองอย่างแท้จริง ดังนั้นจำเป็นต้องเกิดการปลูกฝังทัศนคติให้ลงรากลึกถึงความภาคภูมิใจในการเป็นชาวชองให้ได้มากกว่านี้ เป็นชาวชองแล้วดีอย่างไร สิ่งนี้ต้องปลูกฝังและสื่อสารให้ได้เห็นภาพอย่างชัดเจน เปรียบเสมือนกับการสร้างชาตินิยม
พร้อมระบุว่า สิ่งที่ทำให้เกิดความยั่งยืนในมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมนั้น ต้องใช้กลไกสำคัญที่มีคนมารับช่วงหาจุดเชื่อมต่อให้ได้ ระหว่างความเป็นดั้งเดิมกับสิ่งที่เป็นสมัยใหม่ เพราะสิ่งที่หยุดยั้งไม่ได้คือบริบททางสังคมที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ดังนั้นการเสริมสร้างความเป็นรากเหง้า ความรู้ วิธีคิด วิถีชีวิตชาวชองลงเข้าไปในจิตใจของเด็กและเยาวชนผ่านหลักสูตรการเรียนการสอนในท้องถิ่นก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน และการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมอาจต้องสร้างรูปแบบใหม่ๆ ที่ไม่ใช่แบบเดิม ๆ โดยเฉพาะส่งต่อข้อมูล ความรู้ ภูมิปัญญา และความรู้สึก ไปยังคนรุ่นใหม่ที่ต้องสอดคล้องกับบุคลิกภาพของเด็กและเยาวชนที่ใช้วิธีประยุกต์หรือสอดแทรกหรือบูรณาการ เข้าไปในวิชาเรียนที่เด็กต้องเรียนอยู่แล้ว จะเป็นวิธีการสร้างการเรียนรู้ที่เหมาะสมกว่า ไม่ต้องการให้แยกส่วน แต่อยากให้มองทุกอย่างเป็นองค์รวม
นางจุไรรัตน์ สรรพสุข ประธานกลุ่มสตรีทอเสื่อกกบ้านเสม็ดงาม ในฐานะเจ้าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เสื่อกกจันทบูร จังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า เสน่ห์ของเสื่อกกจันทบูรที่โดดเด่น คือ ความคงทน ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากผู้ใช้งาน โดยมีตัวอย่างการใช้งานเสื่อกกเมืองจันทร์ที่ยาวนานถึง 20 ปีโดยยังไม่ขาด รวมถึงกระเป๋าที่ทำจากกกที่ยังคงสภาพดี ความคงทนนี้ถือเป็นคุณสมบัติสำคัญที่สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าและเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของเสื่อกกจันทบูร โดยปัจจัยที่ทำให้มีความคงทนมาจากการเลือกใช้ ต้นกกคุณภาพดี ซึ่งได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมและวัตถุดิบในพื้นที่อย่างดินและน้ำที่มีลักษณะเป็น น้ำกร่อยหรือน้ำเค็ม ทำให้ เส้นกกมีความเหนียว แตกต่างจากที่อื่น กระบวนการผลิตทุกขั้นตอนมีความสำคัญและไม่สามารถข้ามได้ รวมถึง ฝีมือการทอที่เน้นความละเอียด การใช้สีอย่างดีในการย้อม และมีขั้นตอนการล้างน้ำทำความสะอาดเพื่อ ป้องกันสีลอกและเพิ่มความคงทน นอกจากนี้ ยังมีการใช้ ปอเป็นเส้นยืน ซึ่งเป็นวัสดุธรรมชาติและไม่ใช้วัตถุดิบที่เป็นพลาสติกเลย ขณะเดียวกันไม่มีปัญหาเรื่องเชื้อรา ทำให้เสื่อกกจันทบูรมีคุณสมบัติเป็นธรรมชาติและทนทาน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่หาได้เฉพาะเสื่อจากจังหวัดจันทบุรี พร้อมระบุว่า การทำเสื่อกกจันทบูร ทั้งในรูปแบบเสื่อหรือแปรรูป สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนจริง ๆ
ทั้งนี้ สิ่งที่เป็นความท้าทายคือ กลุ่มสตรีทอเสื่อกกส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุ คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยให้ความสนใจเข้ามาเรียนรู้ แม้ว่าจะสร้างรายได้ที่ดีก็ตาม พร้อมเสนอว่า ควรมีการนำเรื่องการปลูกกก การทอเสื่อ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ภาคบังคับในทุกโรงเรียนด้วย
ด้านนายอิสระ ชูภักดี เจ้าของแบรนด์กอกก กล่าวว่า อัตลักษณ์ของเสื่อกกจันทบูร คือกระบวนการที่ทำด้วยมือในทุกขั้นตอน เป็นงานคราฟต์ 100% เมื่อศึกษาลึกซึ้งลงไปก็รู้ว่ากว่าจะเป็นเสื่อแต่ละผืนต้องเกิดและเติบโตในพื้นที่เฉพาะคือจังหวัด จันทบุรี ซึ่งเป็นต้นกกที่อยู่ในแถบลุ่มน้ำกร่อย กลายเป็นจุดแข็งที่ดี ทำให้เส้นเสื่อมีความเล็ก กลม และละเอียด เป็นจุดที่แตกต่างจากที่อื่น เสื่อแต่ละผืนไม่ได้ทำเพียงคนเดียว แต่เป็นการส่งต่อในหลายขั้นตอน ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมของชุมชน สะท้อนถึงความรักและความสามัคคีภายในชุมชนนั้น ๆ ด้วย ผลงานที่ออกมาแสดงถึงความตั้งใจ ทำให้ยิ่งหลงรักและเห็นว่านี่คือ อัตลักษณ์และความพิเศษของเสื่อจันทบูรจริง ๆ ส่วนตัวรู้สึกว่า กลิ่นของเสื่อกกจันทบูรมีความพิเศษบางอย่างทำให้เห็นภาพว่า กว่าจะได้เสื่อแต่ละผืนต้องใช้ความรัก ความอดทนมากน้อยเพียงใด เพื่อให้เกิดการสื่อสารไปยังลูกค้าได้โดยตรง
พร้อมระบุว่า แม้เสื่อกกจันทบูรนั้นอาจจะอยู่ได้ด้วยตนเอง แต่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เข้ามาทำให้ภาพลักษณ์เปลี่ยนไป ทุกคนเห็นความสำคัญกันมากขึ้น ถ้ามีการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน เกิดการเพิ่มวัตถุดิบและกำลังคน จะทำให้เกิดการต่อยอดที่ดีขึ้น ตลอดจนเกิดความยั่งยืนต่อไปในอนาคตได้
ผศ.ณรงค์ จันใด ผู้อำนวยการหลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตร์บัณฑิต คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้าโครงการ กล่าวทิ้งท้ายว่า แนวทางที่จะทำให้คนรุ่นใหม่รู้จักและเข้าใจคือกลุ่มชาติพันธุ์ชอง คือความร่วมสมัย , การเล่าเรื่อง, การออกแบบผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม เช่น ลายสานบนเสื้อ ยาสมุนไพร ผลิตภัณฑ์จากความเชื่อ การสร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรม เช่น มหกรรม หรือค่ายเยาวชน รวมถึงการใช้ แพลตฟอร์มดิจิทัลเข้ามาร่วมด้วย โดยใช้หลัก 3 ป. คือ "เปิดตัวตน" คือต้องภูมิใจในสิ่งที่เป็น และเปิดเผยตัวตนออกไป "ปลดพันธนาการ" คือไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิม ๆ เพราะคนรุ่นใหม่มีความแตกต่าง ต้องปลดสิ่งที่ทำให้วัฒนธรรมแช่แข็งไว้ และ "ปล่อยของ" คือนำสิ่งดีๆที่มี เช่น ยาสมุนไพรที่มีความสามารถในการถอนพิษ งานจักสาน อาหาร ออกมาสู่สาธารณะมากขึ้น
พร้อมระบุว่า การจะขับเคลื่อนและบริหารจัดการเสื่อกกจันทบูรให้เกิดความยั่งยืน แม้ต้นทางมีทรัพยากรที่พร้อมทั้งต้นกกในพื้นที่ หรือการสอนหลักสูตรท้องถิ่นให้เด็กรุ่นใหม่ได้รู้จักมากขึ้น รวมถึงมหาวิทยาลัยที่คอยส่งเสริมและมีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของเสื่อกกจันทบูร ซึ่งองค์ประกอบจากทุกภาคส่วนนี้ จะทำให้เกิดการเรียนรู้ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำที่มีประสิทธิภาพ มีหอการค้าเป็นผู้สนับสนุนในการนำผลิตภัณฑ์เสื่อกกไปขายให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ทั้งหมดนี้จะเป็นคำตอบที่ทำให้เสื่อกกจันทบูรมีการบริหารจัดการที่ยั่งยืน โดยใช้ชุมชน คนจันทบุรีเป็นผู้นำกระบวนการทั้งหมด