บาทอ่อนรอบใหม่! โบรกคัด 24 หุ้นเด่น “กลุ่มส่งออก-ท่องเที่ยว-รพ.” รับประโยชน์
ผู้สื่อข่าวรายงาน บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ระบุวานนี้ 5 ส.ค. จากทิศทางค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ ดอลลาร์ยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันท่ามกลางการคาดการณ์ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยผ่านการประชุมเดือน ก.ย.68 โดยเห็นได้จาก CME FedWatch บ่งชี้โอกาส 94.40% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 63% ในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนหน้าหลังรายงานการจ้างงานสหรัฐแสดงให้เห็นถึงการชะลอตัวตลาดแรงงาน
ด้าน Goldman Sachs คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% จำนวน 3 ครั้งติดต่อกัน โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนก.ย. และอาจปรับลดถึง 0.50% หากอัตราการว่างงานในเดือนหน้าเพิ่มขึ้น ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าว ส่งผลกดดันค่าเงินดอลลาร์จนเป็นปัจจัยหนุนเงินบาทต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุผ่านบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 4 ส.ค. ตลาดหุ้นโลกพลิกกลับมาดีดแรงอีกครั้ง โดยในฝั่งสหรัฐปรับตัวขึ้นราว 1.5% ถึง 2.1% ส่วนในฝั่งยุโรปปรับตัวขึ้นราว 1.5% ถึง 2.1%
ขณะที่ บอนด์ยีลด์สหรัฐ ร่วงลงมาต่อเนื่องล่าสุดบอนด์ยีลด์อายุ 10 ปีอยู่ที่ 4.19% สะท้อนมุมองตลาดที่กลับมาให้น้ำหนักกับความคาดหวังดอกเบี้ยขาลงมากขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้มีความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัวจากสัญญาณตลาดแรงงานสหรัฐอ่อนแอลง
ด้านข้อมูลจาก FedWatch Tool ณ วันที่ 4 ส.ค. ที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าตลาดให้น้ำหนักมากกว่า 94% ต่อความเป็นไปได้ที่เฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนก.ค. 68 และก่อนหน้านั้นมีการประเมินโอกาสลดดอกเบี้ยไว้ที่ราว 80%
ขณะเดียวกัน โอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมกันมากกว่า 3 ครั้งในปีนี้ มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับมากกว่า 50% แม้ Dot Plot ล่าสุดของเฟดสะท้อนการคาดการณ์ลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปี 68 ก็ตาม
ส่วน Consensus ของนักวิเคราะห์ในตลาดยังคาดการณ์ว่าเดือนส.ค. นี้ จะมีหลายประเทศทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม โดยเฉพาะ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% สู่ระดับ 4.00% ในการประชุมวันที่ 7 ส.ค.
รวมถึงประเทศไทยคาดการณ์คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% สู่ระดับ 1.5% ในการประชุมวันที่ 13 ส.ค. และเมื่อไล่เลียงตาม Timeline หากบ้านเราเริ่มปรับลดดอกเบี้ยก่อนเฟด อาจเป็นปัจจัยกดดันให้เงินบาทมีแนวโน้ม อ่อนค่าลง ได้ในระยะถัดไป สำหรับกลุ่มหุ้นที่คาดการณ์ว่าจะได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า อาทิ กลุ่มส่งออก ได้แก่ HANA, SVI, DELTA, KCE, TU, ITC, AAI, CPF, GPFT, STA, NER, STGT, SAT และ SCC
กลุ่มท่องเที่ยว ได้แก่ AOT, AAV, BA, MINT, CENTE และ ERW รวมไปถึง กลุ่มโรงพยาบาล ได้แก่ BH, BDMS, PR9 และ BCH เป็นต้น