“ณัฐวุฒิ” ปัดตอบ หาก "แพทองธาร" ไม่รอด เชื่อยังมีทางออก
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในฐานะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ในฐานะ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. … ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากรับหนังสือเรื่อง เรียกร้องนิรโทษกรรม จากภาคประชาชน โดยผู้สื่อข่าวได้ถามว่าช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของประมาณ2-3เดือนจะสามารถร่างกฎหมายสร้างเสริมสันติสุขเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในอดีตทันหรือไม่นั้น โดยนายณัฐวุฒิ ระบุว่า เป็นความเห็นตรงกันของคณะกรรมาธิการว่า เราจะเดินเร็ว
และทำเรื่องนี้ให้กลับเข้าสู่สภาในวาระ 2 ภายใน สมัยประชุมนี้ให้ให้ทันให้ได้ดังนั้นเวลาในชั้นกรรมาธิการเวลาประมาณ 2 เดือน ต้นคิดว่าเราก็ต้องทำให้เสร็จจะต้องเพิ่มเวลาประชุมหรือจะขยายเวลาประชุมเป็นช่วงเย็นช่วงค่ำ ก็ได้มีการขอ พร้อมตกลงกันไว้แล้วอย่างไรก็ตามทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของสถานการณ์และบรรยากาศรวมถึงประเด็นที่นำมาหารือกันในชั้นกรรมาธิการด้วยเช่นเดียวกันแต่เท่าที่มี การประชุม2 นัดที่ผ่านมา ก็ถือว่าเดินได้เร็วพอสมควร
เมื่อถามว่า 25 ฐานความผิด ที่มีการแก้ไขจะมีการเพิ่มเติมจากนี้หรือไม่ ในชั้นกรรมาธิการ นายณัฐวุฒิ ระบุว่า คิดว่า สามารถเพิ่มเติมได้เพราะว่าในวันที่เรามีมติ เมื่อครั้งที่แล้ว ก็เป็นการพูดคุยแบบปลายเปิดอยู่แล้วว่าหาก พบว่ามีฐานความผิดอื่นๆ ที่ประชาชน ผู้มีคดีความจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองถูกดำเนินการอยู่และยังมีการระบุให้ครอบคลุมเราก็จะมีงานเพิ่มให้ครอบคลุมลงไปส่วนตัวของตนนั้นตอนเจอมาทั้งหมด2 ฐานความผิดด้วยกัน และเมื่อสักครู่ภาคประชาชนได้มีการยื่น โดยทางทนายความก็เปิดเผยว่ายังมีอีกหลายฐานความผิดที่ต้องเพิ่มเติมออกมาซึ่งก็ถือว่าไม่ได้ขัดกันตามหลักการซึ่งเราก็จะมีการนำไปหารือกันต่อในชั้นกรรมาธิการ
เมื่อถามว่ากรณีมาตรา 112 ถือว่าปิดประตูแล้วหรือไม่แก้ไขเพราะก่อนหน้านี้ทางแกนนำพรรคเพื่อไทยเองก็ออกมาว่ามีช่องทางที่จะช่วยเหลือผู้ที่ถูกดำเนินคดีดังกล่าวอยู่นั้นนายณัฐวุฒิ ระบุว่าจากการลงมติในวาระแรกของสภาผู้แทนราษฎรมันก็มีความชัดเจนอยู่แล้วในตัวในเรื่องของเนื้อหาสาระอย่างไรก็ตามตนคิดว่าในชั้นกรรธิการแม้ว่าเนื้อหาสาระที่จะบัญญัติไปในกฎหมายมัน ชัดเจนโดยมติของสภาอยู่แล้วแต่การที่มีการพูดคุยเพื่อหาทางออกต่างๆในกรณีนี้ตนมองว่ายังอยู่ในวิสัยที่ทำได้และก็ไม่ถือว่าเป็นการเกิดความขัดแย้งใหม่เพราะถือว่าเป็นการพูดคุยกันด้วยความจริงด้วยหลักเหตุผลหลักเมตตาธรรม
นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงการเตรียมการรับมือสถานการณ์คดีความของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กรณีคลิปเสียงพูดคุยสมเด็จ ฮุนเซ็น อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา หากไม่เป็นคุณของรัฐบาลว่า ไม่สามารถตอบแผนรับมือของรัฐบาลคงไม่ได้แต่ตอบทัศนะส่วนตัวได้ว่าความเห็นของตนตนเชื่อมั่นโดยบริสุทธ์ใจว่าเจตนา เนื้อหาสาระและวิธีการ ของนายกรัฐมนตรีในการใช้หารือกับสมเด็จฮุนเซน ณ วันนั้น ไม่ได้เป็นเจตนาทำร้ายประเทศหรือขายชาติแผ่นดินหรือยกอธิปไตยของแผ่นดินไทยไปให้ไกลเขาดังนั้นส่วนตัวเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์นี้และยิ่งเชื่อมั่น ว่าเจตนาของประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะผู้นำทั้งหลายไม่บริสุทธิ์แต่ต้น
หากเราฟังคำชี้แจงของทั้งกองทัพ และกระทรวงการต่างประเทศที่ชี้แจง ต่อคณะเอกอัครราชทูต อุปทูตผู้ช่วยทูตทหารรวมถึงสื่อมวลชนนานาชาติทั้งวันที่ 1 และ 4 สิงหาคม ที่ผ่านมา คำชี้แจงของฝ่ายไทยนั้นเป็นเอกภาพแสดงเจตนาของอีกฝ่ายว่า เจตนาทำให้เกิดความขัดแย้งในแนวชายแดนตั้งแต่ต้นปี ในการจัดมวลชนไปร้องเพลงชาติรวมถึงสร้างเงื่อนไขต่างๆและการวางทุนระเบิดและความพยายามในการฉีกทุกสัญญา สนธิสัญญา ทุกข้อตกลงเพื่อนำพาสถานการณ์มาถึงจุดนี้ วันนี้พอมีข่าวว่า แรงงานของฝั่งกัมพูชาหลั่งไหล กลับประเทศเป็นจำนวนมากขึ้น นายณัฐวุฒิ ระบุว่าตนก็ฉุกคิดว่า หากย้อนกันได้ในช่วงเวลาที่ยังไม่มีสถานการณ์ปะทะใดๆ และคนเชื่อว่าจะไม่มีสถานการณ์บานปลาย สมเด็จฮุนเซน เคยเรียกแรงงาน กลับประเทศไปแล้วโดยอ้างว่าจะมีเหตุรุนแรง หรือมีสถานการณ์บานปลาย ตนจึงตั้งคำถามว่าผู้นำฝั่งกัมพูชารู้มาแต่ต้นแล้วหรือไม่ว่าในที่สุดจะต้องมีการใช้กำลังกัน จึงขอให้ประชาชนชาวไทยได้พิจารณาเรื่องนี้ดู
"อีกเรื่องที่ตนอยากจะฝากก็คือตนคิดว่าวันนี้ ความสมัครสมานสามัคคีของคนไทยสำคัญและจำเป็นมากๆในการเผชิญสถานการณ์นี้เราไม่สามารถที่จะคาดเดาแนวทางของอีกฝ่ายได้เลยเพราะไม่ได้ยืนอยู่บนหลักการใดใดทั้งสิ้นไม่ได้ยืนอยู่ในข้อเท็จจริงไม่ยืนอยู่บนหลักเห็นหลักผลอย่างที่ควรจะเป็นจนถึงปัจจุบันและนี่คือการพูดจาเรื่อยเปื่อยเลื่อนลอยตนมองว่าไม่ใช่นี่เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์และเขาต้องการที่จะสร้างเส้นเรื่องของเขาเองว่า เรื่องราวจากฝ่ายเขาเป็นแบบนี้ จะปั้นเรื่องปั้นน้ำเป็นตัว แค่ไหนก็ตามแต่ทุกที่ทุกเวทีเขาจะเล่าตรงกันแบบนี้ในทุกระดับแล้วสิ่งที่ทางการไทยจะต้องไปเจอก็คือความจริง ที่เราอดทนอดกลั้นสร้างและรักษามาด้วยความชอบธรรมก็ต้องมาเจอความเท็จของเขาในทุกเวที ทั้งนี้ หากในประเทศไทยเราขาดความสามัคคี แล้วมีข่าวลวงข่าวลือให้เกิดความสับสนอยู่เรื่อย ๆ นั้น ก็จะเป็นเครื่องมือของฝั่งตรงข้าม ในการไปกล่าวอ้างกับนานาชาติว่าข่าวสารจากประเทศไทยเป็นแบบนี้เพื่อ ทำลายความน่าเชื่อถือจากข้อมูลของประเทศไทยตนจึงคิดว่าไม่จำเป็นว่าจะต้องมาเชียร์รัฐบาลหรือชื่นชมรัฐบาลไม่จำเป็น แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเป็นทีมประเทศไทย มองว่ารัฐบาลและกองทัพเป็นคนละส่วนกันไม่ได้ เพราะเป็นเอกภาพมาตั้งแต่ต้นผ่านการบริหารงานของ ศบ.ทก. ซึ่งมีผู้นำเหล่าทัพทำหน้าที่กันอยู่แล้วทั้งนี้หากคนไทยสมัครสมานสามัคคีเกมโกหกพกลมใดๆ ก็เอาชนะเราไม่ได้แต่ถ้าเราแตกแยกให้เขาฉวยโอกาสได้แล้ว ก็น่าห่วงใย"
ส่วนข้อกังวลว่านายกรัฐมนตรีอาจจะโดนเรื่องของการผิดจริยธรรมนั้น มองว่า คำว่าจริยธรรมมันกว้างไกลเหลือเกิน และเมื่อเป็นเรื่องของจริยธรรมตนก็ไม่คิดว่าจะมีกระบวนการหรือตุลาการใด ๆ มาตัดสินด้วยซ้ำ เพราะนี่คือหลักการเมื่อกฎหมายบัญญัติ ว่าเป็นอำนาจด้วยดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ขอรอให้จนถึงวันนั้นและตนก็คงไม่ไปแสดงความคิดเห็นใด ๆ เพื่อไปก้าวก่ายแทรกแซงการทำงานกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญ เพียงแต่เรื่องของหลักการตนก็ได้แสดงความคิดเห็นไปแล้วก่อนหน้านี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดประวัติ “หมอปลาย พรายกระซิบ” หมอดูชื่อดังที่มักออกมาเตือนภัย ปชช.
“ภูมิธรรม“ ยันไม่ได้ปิดศูนย์อพยพให้ ปชช.กลับบ้าน เหตุสถานการณ์ยังไม่ปลอดภัย
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “ณัฐวุฒิ” ปัดตอบ หาก "แพทองธาร" ไม่รอด เชื่อยังมีทางออก
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.pptvhd36.com