ขอบคุณ ‘ตำรวจ’ ชะลอเก็บข้อมูลวัด เสนอ 3 แนวทางฟื้นวิกฤติศรัทธาพุทธศาสนา
ดร.ณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แจ้งว่าในหลายพื้นที่ได้มีการชะลอเก็บข้อมูลวัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว เนื่องจากเกิดความกังวลในกลุ่มพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน จากการที่การดำเนินการดังกล่าวมีรายละเอียดเชิงลึกและดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งอาจกระทบต่อความรู้สึกและความเชื่อมั่นนั้น ต้องขอขอบคุณ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกพื้นที่ในการชะลอการเก็บข้อมูล จากด้วยการที่มีความตั้งใจในการบันทึกข้อมูลวัดต่างๆ เพื่อประโยชน์ในการดูแลความเรียบร้อย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกรณีนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน อาจเกิดความสับสนในแนวทางปฏิบัติและการประสานงานในพื้นที่ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่บางส่วนขาดความเข้าใจในการสื่อสารกับพระเถระและเจ้าอาวาสได้ ทั้งยังต้องคำนึงถึงหลักสิทธิส่วนบุคคลอย่างรอบคอบ เบื้องต้นเห็นว่าอาจให้พศ. ซึ่งมีความเข้าใจพระสงฆ์เป็นอย่างดีเป็นผู้ดำเนินการเรื่องนี้ เป็นเจ้าภาพในการเก็บข้อมูล อย่างไรก็ตามการขอเลขบัญชีธนาคารซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ในอดีตมีแนวคิดในการตั้งธนาคารพุทธ อาจเป็นอีกมิติในสร้างความปลอดภัยและมั่นใจให้แก่พระสงฆ์
ดร.ณพลเดช กล่าวต่อไปว่า จากสถานการณ์ที่ปรากฏข่าวพระสงฆ์บางส่วนประพฤติผิดศีลธรรม โดยเฉพาะกรณีที่เชื่อมโยงกับบุคคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสีกา หรือกรณีที่ดินวัดที่ใช้ชื่อผู้อื่น ซึ่งถูกเผยแพร่ไปในวงกว้างผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ประกอบกับปัญหาสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน ในฐานะพุทธศาสนิกชนจึงอยากเสนอแนวคิดในการแก้ไขปัญหาและปฏิรูปฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ซึ่งในอดีตเคยมีเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้วในประวัติศาสตร์ 3 กรณี ดังนี้
1.แก้ไขตามแนวทางพระเจ้าอโศกมหาราช การชำระสะสางอลัชชี ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 3 หลังพุทธปรินิพพาน พระพุทธศาสนาภายใต้การอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราชมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง ทำให้มีลาภสักการะหลั่งไหลเข้าสู่วัดวาอารามมากมาย กลายเป็นแรงจูงใจให้กลุ่มคนนอกรีต หรือ “อลัชชี” (ผู้ไม่ละอาย) ปลงผมห่มผ้าเหลืองเข้ามาปลอมปนในคณะสงฆ์เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน พวกอลัชชีเหล่านี้ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย แต่กลับประพฤติตนเหลวแหลก สร้างความเสื่อมเสียและทำให้พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่สามารถทำสังฆกรรมร่วมกันได้ จนเกิดเป็น “สังฆเภท” ครั้งร้ายแรง พระเจ้าอโศกมหาราชจึงทรงตัดสินพระทัยแก้ปัญหาด้วยพระองค์เอง โดยทรงเรียกประชุมสงฆ์และไต่สวนความรู้ความเข้าใจในพระธรรมวินัยด้วยพระองค์เอง หากภิกษุรูปใดตอบไม่ได้หรือแสดงทิฏฐิที่ผิดเพี้ยนไปจากหลักคำสอน ก็จะถูกบังคับให้สึกและขับออกจากหมู่สงฆ์ การชำระสะสางครั้งใหญ่นี้ทำให้คณะสงฆ์กลับมาบริสุทธิ์อีกครั้ง และเป็นที่มาของการจัด “ตติยสังคายนา” หรือการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 3 เพื่อธำรงรักษาพระธรรมวินัยที่ถูกต้องสืบไป จะเห็นว่าอำนาจต้องอยู่ที่พระมหากษัตริย์เป็นการเด็ดขาด
2.แก้ไขตามแนวทางพระเจ้าติโลกราช การสังคายนาเพื่อความแม่นยำในพระไตรปิฎก ในยุคสมัยของอาณาจักรล้านนา ราวพุทธศตวรรษที่ 21 พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ผู้ทรงมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ทรงตระหนักว่าพระไตรปิฎกซึ่งคัดลอกต่อๆ กันมาเป็นเวลานาน เริ่มมีความคลาดเคลื่อน ผิดเพี้ยน และตกหล่นไปจากต้นฉบับเดิม ซึ่งอาจนำไปสู่การตีความหลักธรรมที่ผิดเพี้ยนได้ เพื่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในดินแดนล้านนา พระองค์จึงทรงมีพระราชดำริให้จัดทำ “อัฏฐมสังคายนา” หรือการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 ของโลกขึ้น ณ วัดโพธารามมหาวิหาร (วัดเจ็ดยอด) ในเมืองเชียงใหม่ โดยได้อาราธนาพระเถระผู้ทรงความรู้แตกฉานในพระบาลีจากทั่วทุกสารทิศมาร่วมกันตรวจสอบ ชำระ และปรับปรุงพระไตรปิฎกให้ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด การสังคายนาครั้งนี้ใช้เวลานานถึง 1 ปี จนได้พระไตรปิฎกฉบับล้านนาที่ได้รับการยอมรับว่ามีความบริสุทธิ์และแม่นยำสูง ถือเป็นการวางรากฐานทางความรู้ที่มั่นคงให้แก่คณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนในภูมิภาค และเป็นต้นแบบของการให้ความสำคัญกับการรักษาความถูกต้องของคัมภีร์ทางศาสนา จะเห็นว่าเป็นการกระตุ้นพระสงฆ์ให้มาร่วมประชุมและเกิดการปรับปรุงตนเองอันนำไปสู่การทำให้พระสงฆ์อยู่ในศีลธรรม
3.แก้ไขตามแนวทางรัชกาลที่ 5 การปฏิรูปการศึกษาโดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ปัญหายาเสพติด และปัญหาพระไม่อยู่ในศีลธรรม พระองค์ได้ทรงดำริให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ร่วมกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ดำเนินการปฏิรูปครั้งสำคัญ โดยมีแนวคิดหลักคือ “สร้างคนให้เป็นผู้เป็นคน” และการใช้ “วัด” ซึ่งเป็นสถาบันที่มีอยู่แล้วทั่วประเทศ ให้กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาสำหรับประชาชน แทนที่จะเป็นเพียงสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น จึงเกิด “โครงการโรงเรียนวัด” ขึ้นทั่วราชอาณาจักร โดยให้พระสงฆ์ทำหน้าที่เป็นครูผู้สอนวิชาความรู้สมัยใหม่ควบคู่ไปกับจริยธรรม จะเห็นว่ากระบวนการนี้แก้ปัญหาแบบยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว คือให้พระสงฆ์ที่อาจมีเวลาว่างจนนำไปสู่การไม่อยู่ในศีลธรรม ได้หันมาตั้งตนเป็นครูเพื่อเป็นแบบอย่าง ให้การศึกษาแก่เยาวชน รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาสังคมโดยเฉพาะปัญหายาเสพติดในอดีต
ดร.ณพลเดช กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ทุกวิธีสามารถทำได้ แต่ต้องพิจารณาถึงบริบทด้านอำนาจหน้าที่และความมีเสถียรภาพของผู้นำ ตนเห็นว่าแนวทางที่ 3 เป็นแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาวิกฤติศรัทธาของชาวพุทธในปัจจุบันได้เร็วที่สุด