เขมรโวย! "สวีเดน" เมินสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ หลังขายกริพเพนให้ไทย
วันที่ 27 สิงหาคม 2568 แคมโบเดียเนสส์ สำนักข่าวของกัมพูชา รายงานว่า ข้อตกลงระหว่างประเทศไทยและสวีเดนในการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ Gripen จำนวน 4 ลำ กลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากนักวิเคราะห์ด้านนโยบายต่างประเทศของกัมพูชา โดยมองว่าเป็นการดำเนินการที่ “ไม่เหมาะสมในเวลาอ่อนไหว” และสะท้อนให้เห็นว่าสวีเดนให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากกว่าหลักการด้านสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ไทยได้ลงนามในสัญญาจัดซื้อเครื่องบินรบ Gripen มูลค่าประมาณ 490 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากบริษัท SAAB ของสวีเดน โดยจะส่งมอบระหว่างปี 2025 ถึง 2030 ขณะที่ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชายังคงดำเนินอยู่
นักวิเคราะห์จากกัมพูชาระบุว่า เหตุปะทะที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 24–28 กรกฎาคม ทำให้เกิดความเสียหายและมีพลเรือนเสียชีวิต ขณะที่ไทยมีการใช้เครื่องบินรบในการปฏิบัติการ แต่กัมพูชาไม่มีศักยภาพด้านอากาศเช่นเดียวกัน
วรรณ บุนนา หัวหน้าหน่วยวิจัยและรณรงค์ สมาคมเครือข่ายเยาวชนกัมพูชา ให้ความเห็นว่า สวีเดนดำเนินนโยบายในกรอบ “ความเป็นจริงนิยม” (realism) โดยมุ่งเน้นผลประโยชน์ของชาติ มากกว่าการยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยที่เคยเป็นจุดยืนของประเทศ
“สวีเดนฉวยโอกาสขายเครื่องบินรบให้ไทย แม้จะรู้ว่าไทยกำลังมีข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้าน และข้อตกลงนี้ยังส่งสัญญาณที่คลุมเครือต่อกัมพูชา และอาจตีความได้ว่าเป็นการหนุนเสริมให้สถานการณ์ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น” วรรณ บุนนา
วรรณ บุนนา ยังตั้งข้อสังเกตว่า แม้ประเทศหนึ่งจะมีสิทธิ์ในการส่งออกอาวุธตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ข้อตกลงนี้อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของสวีเดนในสายตาประชาชนกัมพูชา ที่เคยยกย่องสวีเดนในฐานะผู้สนับสนุนประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน
ด้าน เสือน แซม นักวิชาการจากราชบัณฑิตยสถานกัมพูชา กล่าวว่า ข้อตกลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของเวลาไม่เหมาะสม แต่ดูเหมือนจะสะท้อนถึงแนวโน้มของสวีเดนในการให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ มากกว่าการยืนหยัดในหลักการที่เคยยึดถือในเวทีโลก
เขายังชี้ว่า ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาเป็นประเด็นที่มีรากฐานทางประวัติศาสตร์ และข้อตกลงทางการทหารครั้งนี้อาจสะท้อนถึงความเป็นไปได้ของความตึงเครียดที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต
“ไม่ใช่การกล่าวหา แต่เป็นข้อสันนิษฐานจากแบบแผนในอดีต และเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นหรือกำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน” เสือน แซม กล่าว
ทั้งนี้ สวีเดนได้ประกาศปิดสถานทูตในกรุงพนมเปญเมื่อปี 2021 และปิดสำนักงานส่วนสุดท้ายในปี 2024 โดยให้เหตุผลว่า กัมพูชามี “พัฒนาการด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนที่จำกัด” แต่ไม่นานหลังจากนั้น สวีเดนได้ส่งนักการทูตไปปฏิบัติงานในเกาหลีเหนือ ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีระบบปกครองไม่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด
“สวีเดนพูดถึงประชาธิปไตยกับประเทศเล็ก แต่เจรจาการค้ากับประเทศเศรษฐกิจใหญ่” เสือน แซม กล่าว
เขายังระบุว่า ตัวอย่างจากการสนับสนุนประเทศไทยในช่วงเวลาที่เกิดข้อพิพาทชายแดน อาจสะท้อนถึง “ความเหลื่อมล้ำของความยุติธรรม” ที่วัดกันด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจ การทูต และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร