“ฝ่ายค้าน ฝรั่งเศส” รวมพลังโหวตไม่ไว้วางใจนายกฯ เสี่ยงรัฐบาลล้มกลางกันยายน
กระแสต้านรัฐบาล Francois Bayrou ทวีความรุนแรง เมื่อ 3 พรรคฝ่ายค้านหลักในสภา ฝรั่งเศส ประกาศโหวตไม่ไว้วางใจ 8 กันยายน กดดันให้รัฐบาลอาจต้องลาออก
วันที่ 26 สิงหาคม 2568กระแสต่อต้านรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี Francois Bayrou ของฝรั่งเศสทวีความรุนแรงขึ้น โดย 3 พรรคฝ่ายค้านหลักในสภาแห่งชาติฝรั่งเศส ได้แก่ พรรคแนวร่วมขวาจัด National Rally พรรคซ้ายหัวก้าวหน้า France Unbowed และพรรคสังคมนิยม ต่างประกาศว่าจะลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งหากผ่านจะบีบให้รัฐบาลต้องลาออก
ตลาดการเงินสะท้อนแรงกดดันทันที ดัชนี CAC 40 ร่วงลง 1.9% เป็นวันที่สองติดต่อกัน ขณะที่ส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลฝรั่งเศสกับเยอรมนี อายุ 10 ปี ซึ่งใช้วัดความเสี่ยง กำลังขยายตัวมากที่สุดตั้งแต่เดือนเมษายน สะท้อนความกังวลใหม่ต่อวินัยการคลังของฝรั่งเศส แม้ประเทศเพื่อนบ้านในยุโรป เช่น อิตาลี จะคืบหน้าในการลดขาดดุลการคลังมากกว่า
สถานการณ์นี้ทำให้ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาอาจต้องแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่หรือแม้แต่กลับไปตั้ง Francois Bayrou อีกครั้ง หวังประคองรัฐบาลให้อยู่รอดโดยไม่ต้องเลือกตั้งใหม่ แต่หากเลือกทางยุบสภาก็เสี่ยงเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้พลังหนุนเพิ่ม ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในการเลือกตั้งซ่อมปี 2567 ที่ทำให้พรรค National Rally ของมารีน เลอแปง ก้าวขึ้นมาเป็นพรรคใหญ่ที่สุดในสภาล่าง
โซเชียลลิสต์ระบุชัดว่าจะลงมติไม่ไว้วางใจ โดย บอริส วาลโลด์ ผู้นำพรรคกล่าวในสถานี BFM TV ว่า เราจะโหวตไม่ไว้วางใจรัฐบาล ขณะที่ฟิลิป บรุน ส.ส.พรรคเดียวกัน พูดตรงไปตรงมาว่า “สิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 กันยายน คือการลาออกที่แฝงอยู่”
Francois Bayrou ผลักดันมาตรการลดรายจ่ายและขึ้นภาษีรวม 44,000 ล้านยูโร เพื่อแก้ปัญหาการคลัง พร้อมทั้งเสนอให้ยกเลิกวันหยุดนักขัตฤกษ์ 2 วัน แต่มาตรการนี้ถูกฝ่ายค้านวิจารณ์อย่างหนัก ประเด็นนี้ยังสะท้อนปัญหาหลักของฝรั่งเศสซึ่งแตกต่างจากหลายประเทศในยูโรโซน เพราะยังไม่สามารถฟื้นฟูฐานะการคลังหลังใช้จ่ายมหาศาลรับมือโควิดและวิกฤติเงินเฟ้อจากสงครามยูเครน
สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของฝรั่งเศสเคยวิจารณ์รัฐบาลมาครงว่าประเมินรายได้ภาษีและการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเกินจริง ขณะเดียวกันควบคุมการใช้จ่ายไม่ได้ จึงพลาดเป้าลดการขาดดุลซ้ำแล้วซ้ำเล่า และคาดว่าจะลดดุลลงต่ำกว่าเกณฑ์ของอียูที่ 3% ของจีดีพีได้ไม่ก่อนปี 2572
ต้นทุนหนี้ของฝรั่งเศสก็พุ่งขึ้นต่อเนื่อง โดย Francois Bayrou ระบุว่าค่าดูแลหนี้จะสูงถึง 66,000 ล้านยูโรในปีนี้ และอาจแตะ 75,000 ล้านยูโรภายในปี 2569 แซงหน้างบการศึกษาและงบรายการอื่น ๆ ทั้งหมด
เอริก ลอมบาร์ รัฐมนตรีคลัง กล่าวในสื่อ France Inter ว่าปีนี้ฝรั่งเศสยังคงบรรลุเป้าหมายขาดดุลการคลังที่ 5.4% ของจีดีพี แต่เตือนว่าหากรัฐบาลล้ม ฝรั่งเศสจะถูกนักลงทุนลงโทษ ค่ากู้ยืมอาจสูงกว่าอิตาลีภายใน 15 วัน
ปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของฝรั่งเศสขยับขึ้นมาใกล้อิตาลี และสูงกว่าประเทศที่เคยอยู่ในวิกฤติหนี้ยุโรป เช่น กรีซและโปรตุเกสแล้ว ขณะที่ดัชนี CAC 40 ร่วงลงกว่า 4% ตั้งแต่การเลือกตั้งซ่อมเดือนมิถุนายน 2567 ตรงกันข้ามกับดัชนี Stoxx Europe 600 ที่พุ่งขึ้น 6%
วินเซนต์ จูวินส์ นักกลยุทธ์การลงทุนจาก ING ที่บรัสเซลส์ ให้สัมภาษณ์ว่า“นักลงทุนที่มองยุโรปผ่านภาพเยอรมนีเพียงอย่างเดียวทำพลาดไป เพราะความจริงคือยุโรปกำลังแยกเป็นสองขั้ว บางประเทศอย่างเยอรมนีสามารถลงทุนเพื่อเติบโตได้ แต่บางประเทศอย่างฝรั่งเศสไม่มีทางเลือก นอกจากต้องรัดเข็มขัดการคลัง”
อ้างอิง : www.bloomberg.com