บริจาคเพราะรักษ์โลกหรือแค่ข้ออ้างเพื่อซื้อใหม่ เสื้อผ้าบริจาคทะลักเข้าตลาดมือสอง14 ล้านชิ้น/สัปดาห์
สุนิสา กาญจนกุล รายงาน
ภาพทหารไทยใส่เสื้อผ้าผู้หญิงที่ได้รับบริจาคมา กลายเป็นไวรัลในสื่อออนไลน์ แม้จะดูน่ารักน่าขำจนเรียกรอยยิ้มได้ แต่ขณะเดียวกันก็ชวนให้ฉุกคิดถึงปลายทางที่ไม่ลงตัวของสิ่งบริจาค
ภาพการรวบรวมสิ่งของเหลือใช้เพื่อนำไปบริจาคกลายเป็นสัญลักษณ์ของความดีงาม เป็นการกระทำที่สร้างความรู้สึกอิ่มเอมได้หลายอย่างพร้อมๆ กัน นั่นคือ ความสุขจากการได้พื้นที่ว่างในบ้านกลับคืนมา และความรู้สึกปลาบปลื้มที่ได้ทำบุญและช่วยเหลือผู้อื่น ขณะเดียวกันก็แสดงออกถึงความรักษ์โลกด้วยการนำสิ่งของไปให้ผู้อื่นเวียนใช้ซ้ำ
แต่ขยะที่ท่วมโลกอยู่ทุกวันนี้อาจจะแสดงให้เห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการตั้งคำถามอย่างจริงจัง ว่าการบริจาคสิ่งของที่เราไม่ต้องการ เป็นการกระทำที่มีประโยชน์อย่างแท้จริงหรือเป็นแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
เนื่องจากบ่อยครั้งที่การบริจาคสิ่งของเหลือใช้ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง แต่เป็นเพียงกลไกทางจิตวิทยาซึ่งทำให้เราซื้อของชิ้นใหม่เข้าบ้านได้โดยรู้สึกผิดน้อยลงเท่านั้นเอง
กระแสสังคม
ดูเหมือนว่าในยุคปัจจุบัน การตกแต่งบ้านแบบน้อยแต่งดงาม (Minimalism) และการ “ทิ้งของ” ตามแนวทางการจัดบ้านแบบมาริเอะ คนโด จะกลายเป็นกระแสหลักของวัฒนธรรมสมัยใหม่ไปแล้ว การบริจาคจึงเป็นวิธีการยอดนิยมเพื่อกำจัดสิ่งของมากมายภายในบ้าน
บทความในนิตยสาร Forbes วิเคราะห์เอาไว้ว่า การจัดระเบียบบ้านซึ่งเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมอย่างฉับพลันนั้น ได้สร้างผลข้างเคียงที่ไม่ได้ตั้งใจขึ้นมา นั่นคือการเร่งวงจรการบริโภคให้เร็วขึ้นอีก
แทนที่จะเป็นการส่งเสริมให้คนซื้อของน้อยลง กลับทำให้เกิดวัฒนธรรม “ซื้อหนึ่ง ทิ้งหนึ่ง (One-in, One-out)” ที่ผู้บริโภครู้สึกว่าการซื้อของใหม่ไม่ใช่ปัญหา ตราบที่ยังมีการกำจัดของเก่าออกไปอย่างสม่ำเสมอ การบริจาคจึงไม่ได้ทำหน้าที่หยุดยั้งการบริโภค แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้วงจรการบริโภคดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นรวดเร็วยิ่งขึ้น
เหตุผลเชิงจิตวิทยา
ในสังคมยุคปัจจุบันซึ่งมีการรณรงค์เรื่องรักษ์โลกอย่างเข้มข้น ส่งผลให้คนบางกลุ่มเผชิญปัญหาความรู้สึกผิดเรื่องผลกระทบที่การบริโภคมีต่อสิ่งแวดล้อม
งานวิจัยพบว่า ถึงแม้ความรู้สึกผิดนี้จะส่งผลให้เกิดความตั้งใจที่จะลดการบริโภค แต่ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคอย่างแท้จริงและยั่งยืน แต่กลับกระตุ้นให้มีการมองหาทางออกในรูปแบบของการกระทำที่ช่วยลดความรู้สึกผิดโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคที่ฟุ่มเฟือยของตน
การบริจาคสิ่งของใช้แล้วคือเครื่องมือทางจิตวิทยาที่ทำให้คนจำนวนมากรู้สึกว่าตนเองได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ในขณะที่ยังคงรักษาพฤติกรรมการบริโภคในระดับเดิมหรือแม้กระทั่งเพิ่มขึ้นได้
จึงมีอยู่บ่อยครั้งที่เหตุผลเบื้องหลังการบริจาคไม่ใช่ความต้องการที่จะช่วยเหลือสังคมอย่างแท้จริง แต่เป็นความต้องการที่จะเบี่ยงเบนความรู้สึกผิดที่มาพร้อมกับการครอบครองสิ่งของมากเกินไป (guilt aversion) หรือเป็นเสมือนการล้างบาปทางการบริโภคนั่นเอง ขณะเดียวกัน ผู้บริจาคยังได้รับความรู้สึกดีๆ จากการที่ได้ให้ (warm-glow giving) อีกด้วย
ในเชิงจิตวิทยา กลไกดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า “การออกใบอนุญาตทางศีลธรรมให้ตนเอง (Moral Self-licensing)” แต่ปัญหาก็คือ งานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า เมื่อคนเรารู้สึกว่าได้ทำความดีหรือตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้องทางศีลธรรมไปแล้ว พวกเขามีแนวโน้มที่จะอนุญาตให้ตัวเองทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามหรือปล่อยตัวปล่อยใจมากขึ้นในภายหลัง
การนำเสื้อผ้าเก่าหนึ่งถุงไปบริจาค ทำให้เรารู้สึกว่าตนเองเป็นคนดี มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ความรู้สึกดีนี้จะเป็นเหมือนสิ่งลดทอนความรู้สึกผิดเมื่อกดสั่งซื้อเสื้อผ้าใหม่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ด้วยการปลอบใจตัวเองว่า“ไม่เป็นไรหรอก เราเพิ่งบริจาคของไปตั้งเยอะ”
ข้อเท็จจริงเบื้องหลัง
ปัญหาสำคัญก็คือเมื่อเราบริจาคสิ่งของเหลือใช้ไป เรามักเข้าใจว่าสิ่งของเหล่านั้นจะถูกส่งตรงไปถึงมือของผู้ที่ต้องการ แต่ความจริงเบื้องหลังนั้นน่าตกใจกว่าที่คิด โดยเฉพาะของบริจาคประเภทเสื้อผ้าใช้แล้ว
อุตสาหกรรมแฟชั่นมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล เป็นผู้บริโภคน้ำอันดับสองของโลกและรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 10 % ของทั้งโลก แม้จะทราบถึงผลกระทบเหล่านี้ แต่ผู้บริโภคยังคงซื้อเสื้อผ้าในปริมาณมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การบริจาคเสื้อผ้าที่ไม่ใส่แล้วจึงกลายเป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกดีกับตนเอง โดยหลายคนเชื่อว่าการบริจาคนี้จะช่วยให้เสื้อผ้าเหล่านั้นได้รับการใช้ประโยชน์ต่อไป แต่ตามความเป็นจริงนั้น หลังจากการบริจาค เสื้อผ้าจำนวนมากมักจะไปลงเอยที่ลานขยะหรือถูกเผาทำลาย ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงสร้างมลพิษทางน้ำและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
องค์กรรับบริจาคขนาดใหญ่ในระดับสากล เช่น กู๊ดวิล (Goodwill) หรือเดอะซัลเวชันอาร์มี (The Salvation Army) เปิดเผยข้อมูลที่น่าตื่นตะลึงว่า มีเสื้อผ้าที่ได้รับบริจาคเพียงประมาณ 10-20 % เท่านั้นที่ถูกคัดเลือกเพื่อนำไปวางขายในร้านค้ามือสองขององค์กร
ส่วนเสื้อผ้าที่เหลืออีก 90-80 % ถูกส่งเข้าสู่อุตสาหกรรมการค้าเสื้อผ้ามือสองระดับโลก เสื้อผ้าบริจาคและเสื้อผ้าที่ขายไม่ออกในประเทศพัฒนาแล้ว จะถูกอัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เพื่อส่งขายให้กับประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชียใต้ และอเมริกาใต้
สารคดีจากสื่อชั้นนำมากมายตีแผ่ความจริงที่น่าตกใจในตลาดกันตามานโต (Kantamanto Market) กรุงอักกรา ประเทศกานา ซึ่งเป็นตลาดเสื้อผ้ามือสองที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ว่าทุกสัปดาห์ จะมีเสื้อผ้าบริจาคจากโลกตะวันตกกว่า 15 ล้านชิ้นหลั่งไหลเข้ามาในตลาดแห่งนี้ เพื่อให้พ่อค้าแม่ค้าซื้อไปขายต่อ
เนื่องจากคุณภาพของเสื้อผ้าที่ได้รับบริจาคมานั้นบางครั้งก็ย่ำแย่อย่างมาก อาจจะขาด ชำรุด เป็นคราบ หรือไม่เหมาะกับสภาพอากาศ ทำให้ขายไม่ได้ ส่งผลให้ประมาณ 40 % ของเสื้อผ้าที่ถูกส่งมายังตลาดกันตามานโต ถูกคัดออกเป็นขยะในทันที และถูกนำไปทิ้งในหลุมฝังกลบที่ล้นปรี่ หรือถูกทิ้งตามชายหาดและในลำน้ำ ก่อให้เกิดภูเขาเสื้อผ้าที่ทำลายระบบนิเวศและสร้างมลภาวะอย่างรุนแรง
แม้ผู้บริจาคจะมีเจตนาดี แต่ระบบการจัดการสิ่งของบริจาคในปัจจุบันยังมีข้อจำกัด ร้านค้าเพื่อการกุศลและองค์กรการกุศลหลายแห่งต้องรับมือกับปริมาณสิ่งของบริจาคที่เกินความต้องการของตลาดท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อผ้าและสิ่งของคุณภาพต่ำ
การบริหารจัดการสิ่งของที่ได้รับบริจาคมา มีความซับซ้อน ยากลำบากและเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก ในบางแง่ การบริจาคจึงกลายเป็นแค่การผลักภาระในการจัดการขยะที่เกิดจากลัทธิบริโภคนิยมของเรา ไปให้กับองค์กรการกุศลเท่านั้นเอง สรุปง่ายๆ ก็คือ การบริจาคของเราไม่ได้ช่วยลดขยะ แต่เป็นเพียงการย้ายขยะให้พ้นสายตาไปเท่านั้น
ทางเลือกที่ยั่งยืนกว่า
การบริจาคสิ่งของใช้แล้วไม่ใช่สิ่งผิดในตัวมันเอง และยังคงเป็นกิจกรรมที่มีคุณค่าเมื่อทำด้วยเจตนาที่ถูกต้องและมีการจัดการที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม การบริจาคอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการลดขยะ ทางออกที่ดีกว่าการย้อนกลับไปสู่หลักการพื้นฐาน ซึ่งก็คือการลดการบริโภคนั่นเอง
แต่ถ้าหากจำเป็นต้องบริจาคจริงๆ ควรทำอย่างมีข้อมูลและเป้าหมายที่ชัดเจน และบริจาคอย่างมีความรับผิดชอบ แทนที่จะนำไปหย่อนในกล่องรับบริจาคทั่วไป ลองค้นหาองค์กรการกุศลที่มีความสามารถในการจัดการสิ่งของบริจาคหรือองค์กรเฉพาะทางที่ต้องการสิ่งของนั้นจริงๆ เช่น มูลนิธิที่รับบริจาคชุดทำงานสภาพดีสำหรับผู้ที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งาน องค์กรที่รับบริจาคชุดชั้นในสำหรับผู้ต้องขังหญิง ฯลฯ
อย่าบริจาคเพียงเพื่อกำจัดสิ่งที่อยู่ในครอบครองเพื่อเปิดทางให้กับของชิ้นใหม่ อย่าให้การบริจาคกลายเป็นกลไกที่ทำให้เรารู้สึกดีกับการกระทำที่ผิวเผิน ขณะที่เบื้องหลังนั้นเต็มไปด้วยผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม การขนเสื้อผ้าไปบริจาคอาจทำให้บ้านของเราโล่งสะอาด แต่กลับเป็นการเพิ่มขยะให้บริเวณอื่นของโลกใบนี้
การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงควรเริ่มต้นที่จุดกำเนิด นั่นคือ “การตัดสินใจซื้อ” อย่าสร้างขยะเพิ่มด้วยแนวคิดที่ว่า ซื้อๆ ไปก่อน ถ้าไม่ชอบไม่ได้ใช้ก็เอาไปบริจาค
การลดขยะเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน คือการต่อสู้กับแรงกระตุ้นภายในใจเมื่ออยากซื้อของใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความมุ่งมั่น และเป็นความรับผิดชอบอย่างแท้จริงมากกว่าการนำของใส่ถุงแล้วเอาไปบริจาค
ข้อมูลอ้างอิง :