ชายแดนยังตึงเครียด ศบ.ทก.ทำงานต่อเนื่อง – รัฐบาลถูกจับตาแผนยุบศูนย์ "บุ๋ม" เข้าใจหวังส่งสัญญาณสงบศึก
เพจเฟซบุ๊กศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ชี้แจงพี่น้องประชาชน และสื่อมวลชนทุกท่าน ว่า ขณะนี้ยังไม่มีการยุติบทบาทของศูนย์ฯ และยังคงปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาเสถียรภาพความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา การดำเนินงานของศูนย์ฯ จะต้องมีการประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ รอบด้าน โดยพิจารณาจากข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์และข้อเท็จจริงในพื้นที่ เพื่อให้การตัดสินใจสอดคล้องกับผลประโยชน์แห่งชาติและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จะเป็นผู้พิจารณาและกำหนดทิศทางตามลำดับและตามกรอบอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป
ขณะที่น.ส.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ได้โพสต์ข้อความว่า "ข้อสรุปที่บุ๋มรับทราบมา คือรัฐบาลตั้งใจยุบศบ.ทก. ภายในสัปดาห์นี้เป็นการเร่งด่วน เพื่อแสดงความจริงใจต่อชาวกัมพูชา ว่าประเทศไทยมีเจตนาดีในการแก้ปัญหา และการคงอยู่ของศูนย์ก็เหมือนสัญลักษณ์ที่ทำให้เห็นว่าทางเราไม่มีความตั้งใจในการสงบศึก
ตัวบุ๋มเองก็คิดว่าสันติภาพคือทางออกที่สำคัญที่สุด เพื่อคืนพื้นที่ปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน ไม่มีใครสบายใจที่จะอยู่ในพื้นที่ตึงเครียด ก็ได้แต่คาดหวังว่าครั้งนี้ รัฐบาลจะสามารถเจรจา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและป้องกันอธิปไตยผ่านการทูตอย่างที่ลั่นวาจาไว้ อย่าทำคนไทยผิดหวังนะคะ"
รัฐบาลยืนยันพร้อมให้การสนับสนุนกองทัพในการปกป้องอธิปไตย อย่างเต็มที่
ขณะที่พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม ขอชี้แจงสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง กรณีกองทัพภาคที่ 2 ได้โพสต์ในช่องทางสื่อสาร (Facebook) เพื่อขอรับการสนับสนุนลวดหนามหีบเพลง สำหรับใช้ประโยชน์ในการป้องกันอธิปไตยของไทย นั้น มีรายละเอียดโดยสรุป ดังนี้
1. การโพสต์ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 (เวลา 1700 น.) มีใจความสำคัญ ว่า กองทัพภาคที่ 2 ขอรับการสนับสนุนลวดหนามหีบเพลงจำนวนมาก เพื่อใช้ประโยชน์ในการป้องกันอธิปไตยของไทย จากผู้ที่มีความประสงค์-มีศักยภาพ โดยสามารถติดต่อโดยตรงกับฝ่ายกิจการพลเรือน กองกำลังสุรนารี
2. การโพสต์ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 (เวลา 1154 น.) กองทัพภาคที่ 2 ให้ข้อมูลเพิ่มเติม (1) ย้ำความสำคัญของลวดหนามหีบเพลง ในการลดความเสี่ยงต่อชีวิต-ความปลอดภัยของกำลังพลที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดน และประชาชน รวมทั้งการป้องกันอธิปไตยของชาติ และ (2) ความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดหาในเวลาจำกัดและในจำนวนมาก ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันลวดหนามฯ ดังกล่าว ในท้องถิ่นเริ่มหายาก-ขาดแคลน
พลเรือตรีสุรสันต์ อธิบายเพิ่มเติมว่า จากการได้พูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทราบว่าเป็นความพยายามเฉพาะหน้า ทั้งในเชิงปริมาณและเวลาดังกล่าว เพื่อให้ได้มาซึ่งลวดหนามฯ สร้างความพร้อมและสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ด้านความมั่นคงของประเทศได้ อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ กองทัพมีความรับผิดชอบในการปกป้องอธิปไตยและผืนแผ่นดินไทย ซึ่งการใช้รั้วลวดหนามชนิดต่างๆ เป็นกลไกหนึ่งที่มีความสำคัญต่อระบบการเฝ้าตรวจตามแนวชายแดนและการรักษาความปลอดภัยที่มั่นและกำลังพลทหารของเรา ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ เสริมการจัดยามรักษาการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง เช่น การติดตั้งระบบเรดาร์เฝ้าตรวจภาคพื้นดิน หรือการใช้กล้องวงจรปิด เป็นต้น ซึ่งจะต้องพิจารณาลงทุนเพิ่มเติมอย่างเหมาะสมต่อไปในอนาคต
พลเรือตรี สุรสันต์ ย้ำว่า ไม่ได้มีประเด็นในเรื่องของการขาดแคลนงบประมาณแต่อย่างใด น่าจะเป็นเพียงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน โดยรัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอ และเตรียมงบกลาง สำหรับแก้ปัญหาฉุกเฉิน-จำเป็นของชาติ พร้อมให้การสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจต่างๆ ของกองทัพอย่างเต็มความสามารถ ซึ่งปัจจุบันกองทัพกำลังรวบรวมความต้องการจัดหายุทโธปกรณ์-สิ่งอุปกรณ์ต่างๆ จากทุกเหล่าทัพ เพื่อทดแทนและเสริมขีดความสามารถให้กองทัพของเรามีศักยภาพสูง และคงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ โดยกระทรวงกลาโหมจะเร่งรัดดำเนินการจัดหาและส่งให้ถึงหน่วยได้ใช้งานต่อไปโดยเร็ว
พลเรือตรี สุรสันต์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ในนามของกระทรวงกลาโหม ขอขอบคุณและขอชื่นชมธารน้ำใจจาก พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ที่ได้แสดงออกถึงความรักชาติ และมีส่วนร่วมในการสนับสนุนกองทัพของเราตลอดมา โดยเฉพาะในยามที่มีสถานการณ์ไม่ปกติ ชาวไทยมักร่วมแรง ร่วมใจกัน และ #รวมใจไทยเป็นหนึ่งเดียว ทุกครั้ง
กต. เชิญทูต 50 ประเทศ พาลงพื้นที่ 16 ส.ค. พิสูจน์ข้อเท็จจริง "ทุ่นระเบิด"
นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่พลกองร้อยทหารพรานรวม 7 นาย ซึ่งทำการลาดตระเวนในพื้นที่ช่องจุบตะโมก ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ประท้วงไปยังฝั่งกัมพูชา และเร่งดำเนินการประท้วงตามช่องทางทางการทูตที่เกี่ยวข้องแล้ว
นายรัศม์ ระบุต่อไปว่า ในวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคมนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะเชิญผู้แทนทางการทูตจากกว่า 50 ประเทศ ซึ่งประกอบด้วยประเทศผู้บริจาคในกรอบอนุสัญญาออตตาวา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มารับฟังการบรรยายสรุปในเรื่องดังกล่าว จากนั้นในวันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะนำคณะผู้แทนทางการทูตดังกล่าว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อให้รับทราบข้อเท็จจริงจากผู้ปฏิบัติในพื้นที่โดยตรง
ที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินการทูตเชิงรุกโดยไปพบกับประเทศผู้ที่เกี่ยวข้องกับกรอบอนุสัญญาออตตาวาด้วยตัวเองนับแต่เกิดเหตุเหยียบกับระเบิดครั้งแรกมาโดยตลอด ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee) หรือ GBC ไทย-กัมพูชา ไทยได้เสนอให้มีการเก็บกู้ทุ่นระเบิด แต่กัมพูชากลับปฏิเสธ
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ย้ำด้วยว่า เหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝ่ายกัมพูชาได้แสดงความไม่จริงใจที่จะแก้ไขปัญหา โดยปฏิเสธข้อเสนอของไทยในการประชุม GBC ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และละเมิดพันธกรณีตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงส่งผลกระทบต่อชีวิตของพี่น้องทหารไทย ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการทางการทูตอย่างถึงที่สุด.