โลกร้อนขึ้นจริงๆ มองผ่านความสาหัสของอากาศร้อนในกรุงวอชิงตัน
นั้นคือ ตัวชี้วัดระดับอุณหภูมิกับตัวชี้วัดระดับความชื้นในอากาศ
ดัชนีที่ได้บ่งบอกระดับความรู้สึกของมนุษย์ว่าร้อนมากหรือน้อยกว่าอุณหภูมิจริง เช่น เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเวลาบ่าย 2 โมง อุณหภูมิอยู่ที่ 98 องศาฟาเรนไฮต์ (37 องศาเซลเซียส)
แต่ผลของการคำนวณตามสูตรของนักวิทยาศาสตร์บ่งว่า มันทำให้มนุษย์รู้สึกร้อนเท่ากับ 110 องศาฟาเรนไฮต์ (43 องศาเซลเซียส) เนื่องจากความชื้นในอากาศอยู่ที่ 46% หากความชื้นต่ำกว่านั้น มันอาจทำให้เรารู้สึกว่าร้อนน้อยกว่าความเป็นจริง
เนื่องจากสัปดาห์นี้เพิ่งเข้าฤดูร้อน ก่อนสิ้นฤดู ความร้อนอาจสูงกว่าเมื่อปีที่แล้วซึ่งสูงทำลายสถิติตั้งแต่มีการบันทึกไว้ถึง 2.3 องศาฟาเรนไฮต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศจำนวนมากเห็นว่า มันเป็นการยืนยันความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศบนผิวโลกที่มักอ้างถึงกันในนามของ“ภาวะโลกร้อน”
อย่างไรก็ดี มีชาวอเมริกันส่วนหนึ่งซึ่งไม่เชื่อว่าโลกร้อนขึ้นจริง หากชาวโลกไม่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โลกจะร้อนจนทำให้มนุษย์เราอยู่ยากดังที่นักวิทยาศาสตร์คาดไว้ พวกเขามักกล่าวหาผู้ที่เชื่อว่าโลกร้อนขึ้นจนต้องหามาตรการป้องกันมิให้มันร้อนขึ้นไปอีกเป็น “กระต่ายตื่นตูม”
ข้อตกลงดังกล่าวประกอบด้วยมาตรการต่างๆ ที่แต่ละประเทศให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำเพื่อป้องกันมิให้โลกร้อนขึ้นไปเกิน 1.5 องศาเซลเซียสจากระดับเมื่อต้นยุคอุตสาหกรรม หากเป้าหมายนั้นทำไม่ได้ ชาวโลกจะต้องป้องกันมิให้โลกร้อนขึ้นไปถึง 2 องศาเซลเซียส ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดว่าจะมีผลกระทบร้ายแรงมากต่อทุกอย่างบนโลก
ความไม่เชื่อว่าโลกกำลังร้อนขึ้นตามผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์อาจไม่มีผลร้ายมากนัก หากผู้ไม่เชื่อเป็นคนธรรมดาสามัญทั่วไป แต่เมื่อผู้ไม่เชื่อเป็นผู้นำของมหาอำนาจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นลำดับ 2 รองลงมาจากจีน ผลอาจเป็นความหายนะ
รัฐบาลอเมริกันในปัจจุบันไม่เชื่อว่าโลกร้อนขึ้นเพราะกิจกรรมของมนุษย์เราจำพวกเผาผลาญถ่านหินเอาพลังงาน รัฐบาลนั้นจึงลดมาตรการต่างๆ ด้านการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
จากความเชื่อดังกล่าวและท่าทีที่สหรัฐแสดงออกมาจึงคาดการณ์ได้ว่ารัฐบาลอเมริกันจะไม่ใส่ใจในรายงานล่าสุดเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนของนักวิทยาศาสตร์ด้านการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศกว่า 60 คน นำโดยศาสตราจารย์ปิแอรส์ ฟอร์สเตอร์แห่งมหาวิทยาลัยลีดส์ในสหราชอาณาจักร
รายงานดังกล่าวสรุปว่าถ้าชาวโลกยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน อุณหภูมิของโลกอาจร้อนเพิ่มขึ้นไปแบบถาวรถึงระดับ 1.5 องศาเซลเซียสมากกว่าเมื่อต้นยุคอุตสาหกรรมภายในเวลาอีกเพียง 3 ปีเท่านั้น เพราะโลกกำลังร้อนขึ้นในอัตราเร่ง ยังผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นถึงระดับ 1.5 องศาเซลเซียสเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่ผ่านมา
น้ำทะเลดูดซับราว 90% ของความร้อนที่เพิ่มขึ้น อุณหภูมิของน้ำทะเลกำลังเพิ่มขึ้นไปด้วยส่งผลให้ระบบนิเวศในทะเลถูกกระทบอย่างหนัก นอกจากนั้น การอุ่นขึ้นยังทำให้น้ำทะเลขยายตัวอีกด้วย การขยายตัวส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับที่เกิดจากธารน้ำแข็งและภูเขาน้ำแข็งในย่านขั้วโลกละลาย ชุมชนในย่านชายฝั่งทะเลจึงได้รับผลกระทบร้ายแรงกว่าที่เคยคาดไว้
รัฐบาลอเมริกันชุดปัจจุบันจะอยู่ต่อไปอีก 3 ปีครึ่ง หลังจากนั้น รัฐบาลใหม่อาจเปลี่ยนท่าทีและเข้าร่วมข้อตกลงแห่งนครปารีสอีกครั้งดังที่เคยทำแล้วก็ได้ แต่เราไม่ควรเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นอีก
ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรเตรียมตัวไว้ให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงร้ายแรงที่จะมาจากภาวะโลกร้อน และไม่ควรเชื่อว่าเทคโนโลยีจะแก้ปัญหาได้หมดตามความเชื่อของคนบางกลุ่ม ซึ่งจะเสมือนดำเนินชีวิตแบบไปตายดาบหน้า หรือประมาท ส่วนจะเตรียมอย่างไรจึงจะพร้อมขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของแต่ละคน.