รายงานชี้ "กัมพูชา" ศูนย์ลวงออนไลน์ สะท้อนล้มเหลวปราบสแกมเมอร์ ?
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา สื่อหลายสำนัก รวมถึงองค์การระหว่างประเทศ รายงานข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาอุตสาหกรรมหลอกหลวงออนไลน์ในกัมพูชา แต่รายงานของ Amnesty International ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา ชี้ว่า ความล้มเหลวของรัฐบาลกัมพูชาในการจัดการปัญหานี้ ไม่ต่างอะไรกับการรู้เห็นเป็นใจให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนขึ้น
รายงานความยาวกว่า 240 หน้าฉบับนี้มีชื่อว่า "I was Someone Else's Property" หรือ "ฉันคือทรัพย์สินของคนอื่น" ซึ่งแอมเนสตีสัมภาษณ์ผู้รอดชีวิต 58 คน จากศูนย์หลอกลวงออนไลน์ 31 แห่งใน 16 เมืองทั่วกัมพูชา ระหว่างเดือน ก.ย.2023 ถึงเดือน พ.ค.2025 พบว่า การค้ามนุษย์ การบังคับใช้แรงงาน การใช้แรงงานเด็ก การทรมานและการปฏิบัติที่ไม่ดีอื่นๆ ไปจนถึงการพรากเสรีภาพและการเป็นทาส เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากภายในศูนย์หลอกลวงออนไลน์ที่เปิดกระจายในหลายๆ จุดของประเทศ
แม้ว่าตัวการหลักของการละเมิดสิทธิมนุษยชนจะเป็นขบวนการอาชญากรรมกลุ่มต่างๆ แต่รัฐบาลกัมพูชาก็ล้มเหลวครั้งใหญ่ในการดำเนินมาตรการอย่างเพียงพอ เพื่อยุติการละเมิดที่ขยายตัวเป็นวงกว้างเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ตระหนักดีถึงปัญหา
แอมเนสตีเก็บข้อมูลและระบุตำแหน่งของศูนย์หลอกลวงออนไลน์อย่างน้อย 53 แห่งในหลายจังหวัดทั่วกัมพูชา ซึ่งพบมากที่สุดอยู่ใน "สีหนุวิลล์" ถึง 22 แห่ง ตามมาด้วยใน "บาเวต" 6 แห่ง และ "ปอยเปต" 5 แห่ง โดยส่วนใหญ่จะพบตามเมืองตะเข็บชายแดน
แต่จุดที่น่าสนใจและเป็นข้อมูลที่ตรงกับรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ก่อนหน้านี้ คือ ขณะนี้พบว่าศูนย์หลอกลวงออนไลน์ขยายตัวเข้าไปอยู่ในเมืองใหญ่ๆ ที่อยู่ไกลจากพรมแดน อย่างในกรุงพนมเปญ โดยจากรายงานของแอมเนสตีพบถึง 4 แห่ง รวมทั้งยังพบสถานที่ต้องสงสัยที่เข้าข่ายเป็นศูนย์หลอกลวงออนไลน์อีก 45 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศอีกด้วย
เมื่อประมาณเกือบ 10 ปีที่แล้ว กิจกรรมการพนันออนไลน์ในกัมพูชาเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างก้าวกระโดด หลักๆ เป็นผลมาจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนจากจีน โดยในช่วงนั้นธุรกิจกาสิโน โรงแรมและรีสอร์ท ผุดขึ้นราวดอกเห็ดในหลายเมืองของประเทศ เช่น ที่สีหนุวิลล์ ซึ่งตามด้วยการไหลทะลักของเครือข่ายอาชญากรรมจีนที่เข้ามาโลดแล่นในอุตสาหกรรมการพนัน แต่ด้วยการกดดันจากจีน ทำให้กัมพูชาตัดสินใจสั่งห้ามการพนันออนไลน์ในปี 2019
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้ขบวนการอาชญากรรมต้องเปลี่ยนรูปแบบช่องทางการหาเงิน ด้วยการหันไปทำธุรกิจหลอกลวงออนไลน์แทน เปลี่ยนโรงแรมและกาสิโนให้กลายเป็นศูนย์ปฏิบัติการหลอกลวงออนไลน์ โดยข้อมูลจาก UNODC ชี้ว่า นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ธุรกิจดังกล่าวในกัมพูชาเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการบังคับใช้กฎหมายที่หละหลวม การขาดการตรวจสอบทางการเงิน ปัญหาการไร้ธรรมาภิบาลและการทุจริต
จากศูนย์หลอกลวงออนไลน์ทั้งหมด 53 แห่ง ตามรายงานของแอมเนสตี พบว่าในจำนวนนี้ 20 แห่งเป็นศูนย์หลอกลวงออนไลน์ที่ยังดำเนินการต่อ ทั้งๆ ที่เคยถูกตำรวจหรือทหารเข้าไปจัดการหรือดำเนินการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปช่วยเหลือเหยื่อ เจ้าหน้าที่เข้าไปสอบสวนหรือบุกจับกุมผู้เกี่ยวข้อง โดย 9 แห่งเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป
ขณะที่ศูนย์หลอกลวงออนไลน์ 18 แห่งอยู่ระหว่างการสอบสวนของทางการกัมพูชา ส่วนอีก 13 แห่งพบว่าเจ้าหน้าที่เคยเข้าดำเนินการหรือเคยเข้าไปสอบสวนแล้ว แต่แอมเนสตีไม่สามารถยืนยันได้ว่าศูนย์เหล่านี้ยังคงเปิดดำเนินการอยู่อีกหรือไม่ และที่น่าตกใจคือ มีเพียงแค่ 2 แห่งเท่านั้นที่ปิดดำเนินการหลังถูกเจ้าหน้าที่รัฐจัดการ
มอนต์เซ เฟอร์เรอร์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกของ Amnesty International ระบุว่า แม้จะมีการบุกทลายเครือข่ายคอลเซนเตอร์ของเจ้าหน้าที่ แต่ศูนย์หลอกลวงออนไลน์ในกัมพูชากลับเพิ่มจำนวนมากขึ้น ซึ่งเธอมองว่ารัฐบาลกัมพูชาคือตัวแปรสำคัญที่เปิดทางให้ธุรกิจเหล่านี้เฟื่องฟู
โฆษกรัฐบาลกัมพูชา ระบุว่า กัมพูชาตระหนักดีว่าตนเองเป็นเหยื่อของอาชญากรที่มาใช้ประเทศนี้ก่ออาชญากรรมหลอกลวงออนไลน์ แต่กัมพูชาก็ดำเนินมาตรการแข็งกร้าวในการจัดการกับปัญหานี้เช่นกัน ขณะที่รายงานวิจัยหลายฉบับชี้ว่า รัฐบาลกัมพูชาอาจยังทำได้ไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะหยุดยั้งกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้
อ่านข่าว
"ฮุน เซน" ขู่แฉ "ทักษิณ" หมิ่นเบื้องสูง