ชูแพทย์แผนไทย "ใครก็เรียนได้" สร้างโอกาสธุรกิจสุขภาพ ต่อยอด Soft Power
วิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส (CHW) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จัดกิจกรรมเสวนาพิเศษ “เปิดโลก หมอไทย ใครๆ ก็เรียนได้” เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ณ อาคารแจ่มจันทร์สมุนไพร ถนนเพชรบุรี กรุงเทพฯ โดยมีคณาจารย์จากหลักสูตรแพทย์แผนไทยของมหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญจาก Chamchan Herbal Holistic Health Center ร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับศาสตร์แพทย์แผนไทย พร้อมเปิดมุมมองใหม่ให้กับนักศึกษา ประชาชน และผู้ประกอบการที่ได้เห็นถึงคุณค่าของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม และศักยภาพของแพทย์แผนไทยในการต่อยอดเป็น Soft Power รวมถึงโอกาสทางธุรกิจในอนาคต
กิจกรรมครั้งนี้มีการสาธิตเทคนิคการดูแลสุขภาพด้วยตนเองตามหลักแพทย์แผนไทย อาทิ การตรวจสุขภาพด้วยการจับชีพจร การตรวจจุดอ่อนสุขภาพด้วยธาตุเจ้าเรือน การให้คำแนะนำสุขภาพ และการเลือกใช้สมุนไพรพื้นบ้าน เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยในเบื้องต้น รวมถึงสร้างความเข้าใจการใช้ตำรับยาไทยในยาสามัญประจำบ้าน อาทิ ยาเขียว ยาลม ยาหอม ยาบำรุงโลหิต ฯลฯ ที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดในปัจจุบัน เป็นต้น อีกทั้ง การนวด การประคบ และหัตถการง่าย ๆ ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงบูธผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากผู้ประกอบการศิษย์เก่า DPU เช่น แบรนด์ “แจ่มจันทร์” ที่กำลังพัฒนาธุรกิจจากสปาสู่ระดับคลินิก Wellness สะท้อนให้เห็นความเป็นไปได้ของการเชื่อมโยงภูมิปัญญาไทยเข้ากับธุรกิจสุขภาพอย่างเป็นรูปธรรม
อาจารย์ พท.อภิรัช ประชาสุภาพ หัวหน้าหลักสูตรและอาจารย์ประจำหลักสูตรแพทย์แผนไทย วิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า เนื้อหาในการเสวนาครั้งนี้มุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจว่าศาสตร์แพทย์แผนไทยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การนวดตามที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นองค์ความรู้ด้านสุขภาพที่มีความลึกซึ้งและครอบคลุมการดูแลแบบองค์รวม ผ่าน 4สาขาหลัก ได้แก่ 1.เวชกรรมไทย ที่เน้นการวินิจฉัยโรคตามแนวทางแพทย์แผนไทย เช่น การตรวจชีพจร การประเมินธาตุเจ้าเรือน และการวิเคราะห์อาการจากองค์ประกอบร่างกาย เพื่อเข้าใจความไม่สมดุลของธาตุในร่างกายและหาทางปรับสมดุลให้กลับคืนมา ตามด้วย 2.เภสัชกรรมไทย ซึ่งเป็นการใช้สมุนไพรและตำรับยาไทยในการบำบัดอาการและส่งเสริมสุขภาพ ตัวอย่างเช่นยาเขียว ยาลม ยาหอม ยาบำรุงโลหิต และตำรับยาอื่นๆ อีกมากมาย หรือการใช้สมุนไพรพื้นบ้านในครัวเรือน ที่สามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ขณะที่สาขาที่ 3.หัตถเวชกรรมไทย คือศาสตร์แห่งการฟื้นฟูร่างกายด้วยการสัมผัส เช่น การนวด การอบ การประคบ และฤๅษีดัดตน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต และเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย และ 4.การผดุงครรภ์ไทยนั้น เป็นศาสตร์ที่ดูแลสุขภาพสตรีอย่างรอบด้าน ครอบคลุมตั้งแต่วัยเริ่มมีประจำเดือน ภาวะมีบุตรยาก การดูแลสุขภาพผู้หญิงให้พร้อมมีบุตร ไปจนถึงวัยทอง หรือภาวะหมดประจำเดือน โดยใช้แนวทางบำบัดจากธรรมชาติที่ปลอดภัย เช่น การใช้สมุนไพร การประคบ การอบ และการปรับสมดุลภายใน ซึ่งทั้ง 4 สาขานี้จึงไม่เพียงตอบโจทย์ด้านการดูแลสุขภาพในระดับปัจเจก แต่ยังสามารถต่อยอดเป็นอาชีพหรือธุรกิจสุขภาพที่ใช้ภูมิปัญญาไทยเป็นฐานในการสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างยั่งยืน” หัวหน้าหลักสูตรและอาจารย์ประจำหลักสูตรแพทย์แผนไทย วิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส DPU กล่าว
นอกจากนี้ อาจารย์ พท.อภิรัช ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับหลักสูตรแพทย์แผนไทย วิทยาลัยเฮลท์แอนด์ เวลเนส ของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ได้เปิดกว้างสำหรับผู้สนใจทุกกลุ่ม ทั้งนักศึกษาเต็มเวลาและบุคคลทั่วไป โดยมีให้เลือกทั้งระบบปริญญาตรีสำหรับผู้เรียนเต็มเวลา และระบบประกาศนียบัตรที่เรียนเฉพาะวันเสาร์–วันอาทิตย์ เพื่อรองรับผู้ที่ทำงานประจำ โดยเนื้อหาการเรียนครอบคลุมครบทุกมิติของศาสตร์แพทย์แผนไทย และสามารถต่อยอดไปสู่อาชีพได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาชีพด้านสุขภาพ นักพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือผู้ประกอบการในธุรกิจสมุนไพรและ Wellness
“แพทย์แผนไทยไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นภูมิปัญญาไทยที่มีรากฐานมั่นคง และสามารถต่อยอดเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศ ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม หากเราเห็นคุณค่าและร่วมกันสืบสาน พัฒนา และเผยแพร่อย่างจริงจัง ศาสตร์แขนงนี้จะไม่เพียงแค่รักษาโรค แต่จะเป็นพลังสร้างโอกาสให้สังคมไทยในระยะยาว” หัวหน้าหลักสูตรและอาจารย์ประจำหลักสูตรแพทย์แผนไทย วิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส DPU กล่าว
อาจารย์ พท.อภิรัช กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า กิจกรรมเสวนาครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเปิดพื้นที่เรียนรู้ด้านแพทย์แผนไทยให้กับสาธารณชนพร้อมทั้งวางแผนที่จะขยายการจัดกิจกรรมไปยังมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เพื่อส่งเสริมให้ศาสตร์แพทย์แผนไทยเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้นและช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระบบสุขภาพไทย