รองผอ.สำนักพุทธฯ แนะยึดหลักพุทธธรรม ใช้ปัญญาในการพิจารณาการกระทำของพระสงฆ์
เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “นายบุญเชิด กิตติธรางกูร” รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Ch Kitti Kittitharangkoon" ถึงประเด็นพระบางรูปประพฤติผิด แต่พระแท้ที่ปฏิบัติดีและช่วยเหลือชุมชนยังมีอยู่มากมาย ศรัทธาในพุทธศาสนาไม่ควรถูกกลบด้วยความผิดของส่วนน้อย ขอให้แยกแยะ และยกย่องพระสงฆ์ผู้เป็น “แสงเทียนในพายุ” ที่ยังยืนหยัดเพื่อสังคม
โดยเจ้าของโพสต์ ระบุข้อความว่า“แสงเทียนในพายุ พระสงฆ์กับภารกิจสงเคราะห์ชุมชนในห้วงวิกฤติ ในห้วงยามที่ศรัทธาของชาวพุทธบางส่วนสั่นคลอน จากข่าวคราวการประพฤติผิดของพระสงฆ์บางรูปที่ล่วงละเมิดพระวินัย ซึ่งสะเทือนใจและทำให้ผู้คนรู้สึกผิดหวัง หลายคนถึงกับเอ่ยว่า “สิ้นศรัทธา” แต่ในห้วงแห่งความท้อแท้นี้เอง ผู้เขียนอยากเรียนว่า มีแสงเทียนสว่างไสวอยู่อีกมากมายทั่วทั้งประเทศ นั่นคือเหล่าพระสงฆ์ที่ยังยืนหยัดทำหน้าที่ของสงฆ์อย่างไม่หวั่นไหว ทั้งหน้าที่ตัวเอง และสงเคราะห์ชุมชนอย่างไม่ย่อท้อ”
อีกทั้ง“พระสงฆ์ คือ ผู้ไม่เคยทอดทิ้งชุมชน แม้ท่านเหล่านั้น จะทำหน้าที่ในการศึกษาพระธรรมวินัย และเผยแผ่หลักธรรมสู่ชาวพุทธ เป็นหลัก แต่พระสงฆ์จำนวนไม่น้อยกลับเป็นเสมือนเสาหลักของชุมชน โดยเฉพาะในยามที่ชาวบ้านทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าจะจากภัยธรรมชาติ ภัยโรคระบาด หรือแม้แต่ภัยเศรษฐกิจ พระสงฆ์ก็ยังคงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือด้วยใจเมตตา ในช่วงสถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในหลายจังหวัดภาคเหนือและภาคอีสาน พระภิกษุจากวัดเล็กวัดน้อยไม่ได้รอคำสั่งจากใคร แต่กลับนำข้าวสาร อาหารแห้ง และสิ่งของจำเป็นจากกุฏิ จากโรงทานของวัด ไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านที่ติดอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม วัดหลายแห่งเปิดประตูให้เป็นศูนย์พักพิง เป็นโรงครัวกลางให้ชาวบ้านอิ่มท้อง เป็นที่พักใจให้คนสิ้นหวัง”
“วัดคือหัวใจของชุมชน พระสงฆ์คือผู้นำจิตวิญญาณ ในอดีต “วัด” ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา แต่คือศูนย์กลางของชุมชน เป็นแหล่งเรียนรู้ ที่พักพิง และที่เยียวยาทั้งกายและใจ พระสงฆ์จึงไม่ใช่เพียงผู้สวดมนต์แสดงธรรม แต่คือ “บิดาทางธรรม” ที่เฝ้าดูแลทุกข์สุขของชุมชนอย่างไม่ทอดทิ้ง หลายวัดยังคงรักษาบทบาทนั้นไว้แม้โลกจะเปลี่ยนไป เช่น วัดที่จัดโครงการฝึกอาชีพให้ชาวบ้านในช่วงโควิด วัดที่ร่วมมือกับหมอ อสม. และจิตอาสาเพื่อตรวจโควิด เชิญชวนชาวบ้านไปฉีดวัคซีน หรือแม้แต่วัดที่ตั้งโรงครัวและเผาศพโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเมื่อชาวบ้านไม่มีทางออก”
นอกจากนี้ “พระแท้ยังมีมากกว่าที่เป็นข่าว เราอาจได้ยินข่าวพระที่ประพฤติผิดอยู่เสมอในสื่อ แต่อย่าลืมว่า พระที่ “ไม่ได้เป็นข่าว” นั้น คือพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และปฏิบัติเพื่อส่วนรวมอย่างเงียบ ๆ ยังมีอยู่นับหมื่น นับแสนรูป พวกท่านไม่อยู่หน้ากล้อง ไม่ออกสื่อ ไม่ต้องการชื่อเสียง แต่ยืนอยู่ข้างชาวบ้านด้วยใจ ในวิกฤตินี้ เราจึงไม่ควรเหมารวม ไม่ควรปล่อยให้ความผิดของบางรูปทำให้เราปิดตาต่อคุณงามความดีของพระสงฆ์ส่วนใหญ่ เพราะเมื่อคลื่นโคลนสาดซัดเข้าหาฝั่ง มันเพียงแต่ทำให้น้ำขุ่นชั่วคราว แต่แสงธรรมยังส่องอยู่ใต้พื้นผิวนั้นเสมอ”
อย่างไรก็ตาม "ศรัทธาคือพลังแห่งการแยกแยะ ศรัทธาในพุทธศาสนา มิใช่ศรัทธาในบุคคล แต่คือศรัทธาในหลักธรรมอันเป็นสัจธรรม พระพุทธองค์เองยังตรัสเตือนมิให้เชื่อเพราะเห็นว่า “สมณะนี้เป็นครูของเรา” แต่ให้พิสูจน์ด้วยปัญญา เมื่อเราศึกษา เข้าใจ และรู้เท่าทัน เราจะสามารถแยกแยะพระแท้กับพระแปลกแยกได้อย่างมีสติ และเมื่อเราเห็นพระสงฆ์ที่ท่านยังยืนหยัดอยู่เพื่อชุมชน ช่วยเหลือชาวบ้านด้วยเมตตาและเสียสละ ขอให้เราช่วยกัน “ยกย่อง สนับสนุน และให้กำลังใจ” แทนที่จะปล่อยให้ความผิดของส่วนน้อยกลบคุณงามความดีของส่วนใหญ่ แสงแห่งศรัทธายังไม่ดับ ในพายุแห่งวิกฤติศรัทธา หากเรามัวแต่เพ่งดูความมืด เราก็จะลืมว่า “แสงเทียนเล่มเล็ก” ก็กำลังส่องทางอยู่ให้เราเดิน พระสงฆ์ผู้สงเคราะห์ชุมชนคือแสงเทียนเหล่านั้น ที่แม้จะไร้เสียง แต่เปี่ยมด้วยพลังแห่งเมตตาธรรมที่แท้จริง ขอเพียงเรายังเชื่อในแสงแห่งธรรม ความศรัทธาจะกลับคืน และมั่นคงกว่าเดิม ในพุทธศาสนา ไม่มีการแต่งตั้งใครให้เป็นผู้แทนของพระธรรม พระธรรมต้องส่องเองจากการกระทำ ใครปฏิบัติดี คนนั้นคือแสงสว่างของพระพุทธศาสนา"
ขอบคุณข้อมูล : Ch Kitti Kittitharangkoon