แม่ค้าโอดเศรษฐกิจแย่ กระแสพระฉาวซ้ำเติม ทำยอดขาย 'ไข่ต้มแก้บน' ทรุดถ้วนหน้า
เศรษฐกิจย่ำแย่ แถมยังมีกระแสข่าวพระฉาวซ้ำเติม ทำแม่ค้าขายไข่ต้มแก้บนเส้นทางหน้าวัดโสธรทรุดหนัก รายย่อยแย่รายใหญ่พออยู่ได้ มีบางรายตั้งร้านแล้วขายไม่ออกต้องเก็บร้านหนีร้อนกลางวัน บางรายเผยจากเคยขายได้มากถึงวันละ 20-30 ตะกร้า แต่มาถึงขณะนี้เหลือเพียงวันละไม่เกิน 10 ตะกร้า ส่วนร้านใหญ่บอกกระแสสีกากอล์ฟพัวพันผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัด มีผลกระทบบ้างแต่ไม่มาก เชื่อเป็นเพราะปัญหาเศรษฐกิจมากกว่า
เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่เดินสำรวจสอบถามคนขายไข่ต้มแก้บน ที่บริเวณริม ถ.เทพคุณากร เส้นทางผ่านหน้าวัดโสธรวราราม วรวิหาร อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ถึงสภาพเศรษฐกิจและผลกระทบจากกระแสข่าวสีกากอล์ฟมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับอดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรฯ ได้ส่งผลทำให้การค้าขายไข่ต้มแก้บนมีนักท่องเที่ยว และผู้ที่จะมาแก้บนลดลงไปบ้างหรือไม่นั้น
ได้รับคำตอบจาก นางสุจิตรา อายุ 75 ปี เจ้าของร้านขายไข่ต้มแก้บน “ครูจ้อย” ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการครูวัยเกษียณ ตั้งอยู่บริเวณปากทางถนนเทพคุณากรขาเข้า เส้นทางผ่านหน้าวัดใกล้กับสามแยกเทศบาล 2 กล่าวว่า จากสภาพเศรษฐกิจในขณะนี้ทำให้ยอดการขายไข่ต้มแก้บนซบเซาลงมาบ้างอยู่ก่อนหน้าแล้ว แต่ยังไม่หนักมากเท่ากับในช่วงวันเข้าพรรษา
โดยเมื่อเริ่มถึงวันเข้าพรรษา ผู้คนกลับเงียบเหงาลง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะผู้คนเก็บเนื้อเก็บตัวหรือเก็บออมเงิน ประกอบกับมีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นในวงการพระสงฆ์ จึงทำให้คนเกิดความเสื่อมศรัทธา ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงอยู่แล้ว แม้ผลกระทบจะไม่ได้เกิดขึ้นต่อชาวบ้านทั่วไป แต่สำหรับพระวสงฆ์ที่กระทำในสิ่งที่ไม่ดีนั้น น่าจะมีความอายบ้าง ทั้งที่เป็นพระสงฆ์ระดับสูงเป็นพระชั้นผู้หลักผู้ใหญ่ แต่มากระทำในสิ่งที่ไม่ดีและยังเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับพระลูกวัด ทั้งที่ตนเองนั้นเป็นใหญ่ที่สุดในวัด แล้วลูกวัดเขาจะดีได้อย่างไรเพราะมีตัวอย่างที่ไม่ดีให้เห็น
เวลาไปเดินในตลาดได้ยินผู้คนบ่นกันออกมาว่า “ไม่อยากใส่บาตรเลย เมื่อถามว่าทำไมไม่ใส่บาตรพระดีๆ ก็ยังมีอยู่นะ แต่ได้รับคำตอบว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ารูปไหนดีไม่ดี” ซึ่งตนมองว่ามันขึ้นอยู่กับจิตใจเรามากกว่า เพราะการทำบุญไม่ได้เลือกว่าจะทำบุญกับพระรูปใด รูปโน้นหรือรูปนี้ เป็นเณรก็ตักบาตรได้ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องไปเลือกคนนั้นคนนี้อะไรแบบนั้น จึงมองว่าเป็นองค์ประกอบกันในหลายๆ ด้าน ที่ขณะนี้เศรษฐกิจก็ไม่ดีอยู่แล้วด้วย โดยเฉพาะเศรษฐกิจปากท้องของชาวบ้านที่กำลังลำบากมาก เพราะเห็นทางรัฐบาลมัวแต่มาทะเลาะกันอยู่ ทำให้ชาวบ้านลำบาก
แม้ตนเองจะไม่ลำบากเท่ากับชาวบ้านส่วนใหญ่ เพราะยังมีเงินบำนาญกิน แต่สำหรับคนทั่วไปนั้นเขาลำบากมาก ทั้งยังมามีเรื่องพระสงฆ์กับสีกากอล์ฟซ้ำเติมเข้าไปอีก ทำให้คนมาท่องเที่ยวทำบุญในพื้นที่ลดน้อยลง โดยปกติตนจะขายไข่ต้มขนาดตะกร้าละ 100 ฟองได้วันละประมาณ 20 ตะกร้าต่อวัน และในวันหยุดหรือเทศกาลจะขายได้วันละ 30 ตะกร้า แต่ในขณะนี้ขายได้ไม่เกินวันละ 10 ตะกร้า โดยเฉพาะวันนี้ใกล้จะหมดวันแล้วเพิ่งขายได้แค่เพียง 9 ตะกร้าเท่านั้น ถือว่าตกต่ำลงมากเกินกว่าครึ่งหนึ่งของภาวะปกติ
ส่วนร้านข้างเคียงนั้นในวันนี้ขายไข่ต้มไม่ได้เลย และได้รีบปิดร้านกลับบ้านไปแล้วถึง 2 ร้านหลังจากเปิดขายมากว่าครึ่งวันแล้วไม่มีคนแวะซื้อ ซึ่งถือว่าเงียบเหงามากจริงๆ สำหรับสัปดาห์นี้ นับตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา ส่วนลูกค้ารายใหญ่ๆ หรือผู้ที่ต้องการแก้บนด้วยไข่ต้มนับหมื่นฟองนั้นได้หายไปนานแล้ว นับตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ และหลังจากมีการปรับ ครม.ชุดใหม่แล้ว ก็ยิ่งเงียบไปกว่าเก่าอีกถือว่าตกต่ำหนักที่สุดแล้ว ในความรู้สึกนั้น การบริหารประเทศเหมือนกับเด็กเล่นขายของ ดูเป็นเด็กที่ไม่ค่อยจะมีความคิดที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำของประเทศเลย นางสุจิตรากล่าว
และกล่าวต่ออีกว่า ส่วนการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ให้เทียบเท่ากับเมืองท่องเที่ยวเป็นวันละ 400 บาทนั้น เศรษฐกิจอย่างนี้ แค่ 300 บาทนายจ้างเขาก็ไม่อยากจะจ่ายให้แล้ว เท่าที่เห็นเขาให้ลูกจ้างกันแค่ 300-350 บาทเท่านั้น และส่วนใหญ่ยังไม่มีใครให้มากถึง 400 บาทเลย สำหรับลูกจ้างร้านไข่ต้มที่ทำงานกันตั้งแต่เช้าจนเกือบมืดค่ำ นางสุจิตรา กล่าวระบายฝากไปถึงยังรัฐบาล
ขณะที่ นายพิเชษฐ์ อายุ 56 ปี เจ้าของร้านเจ๊ใหม่ไข่ต้มใกล้กับสนามมวยนานาชาติเก่า ถ.เทพคุณากร กล่าวว่า ที่ผ่านมาวันเสาร์-อาทิตย์ นั้นพอขายได้ แต่ในวันปกติธรรมจะค่อนข้างเงียบ และจากกระแสเรื่องอื้อฉาวในวงการพระสงฆ์ ได้ทำให้ผู้คนเดินทางมาทำบุญลดลงไปอีกส่วนหนึ่งด้วย และในช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมามีคนมาน้อยกว่าในช่วงเทศกาลอื่น เชื่อว่าอาจจะมีบางส่วนพากันเดินทางกลับต่างจังหวัดกันเพราะเป็นวันหยุดยาวจึงทำให้คนเดินทางลดลงไปอีกส่วนหนึ่งด้วย
โดยในวันนี้นับตั้งแต่เช้า ขายไข่ต้มได้เพียง 1 ตะกร้า และมาขายช่วงบ่ายได้อีก 2 ตะกร้ารวมเป็น 3 ตะกร้าเท่านั้น ขณะนี้จึงแก้ปัญหาด้วยการต้มไว้เพียงวันละ 4-5 ตะกร้าก่อน พอขายหมดแล้วจึงจะทยอยต้มใหม่เพราะเกรงว่าจะเหลือขายไม่หมด และเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายหรือขาดทุนมาก เพราะสภาพปัจจุบันเศรษฐกิจย่ำแย่มาก คนไม่มีกำลังซื้อ และยังมาผสมเข้ากับกระแสข่าวอื้อฉาวของพระ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโสธรฯ ซ้ำเติมเข้ามาอีก
ซึ่งสภาพเศรษฐกิจเริ่มไม่ดีนับตั้งแต่มีโรคโควิด 19 ระบาดเข้ามาแล้ว ทำให้มีคนตกงานเต็มไปหมด คนจึงไม่มีกำลังซื้อ และมีแต่คนผ่านเข้ามาที่หน้าร้าน และเข้ามาขอเงินอยู่บ่อยครั้ง ปัจจุบันขายไข่ต้มมีรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าเช่าร้าน ที่เช่าเดือนละ 17,000 บาท ขณะนี้จึงได้รับน้ำขวดและไข่ไก่สดเข้ามาขายเสริมเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง จากเดิมที่เคยขายไข่ต้มแก้บนเป็นอาชีพหลัก นายพิเชษฐ์ กล่าว
ส่วนด้าน เจ้าของร้านน้องเฟย์ไข่ต้ม (ขอสงวนนาม) ตั้งเยื้องกับฝั่งตรงข้ามซอยเทพคุณากร ซ.5 ซึ่งเป็นร้านขนาดใหญ่ขายไข่ต้มวันละนับหมื่นฟอง กล่าวว่า กระแสความอื้อฉาวในวงการพระสงฆ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ถือว่าเป็นกระแสด้านลบที่ค่อนข้างแรงมาก และมีผลกระทบต่อผู้คนที่จะเดินทางมารวมถึงยอดขายไข่ต้มที่ลดลงมาบ้าง แต่สำหรับร้านของตนนั้นอาจมีไม่มากนัก และเชื่อว่าคนยังเคารพศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อโสธรอยู่ในใจกันอยู่แล้ว ไม่ได้ยึดติดกับตัวบุคคลที่กระทำผิด
ส่วน เทศกาลวันเข้าพรรษา ที่ถูกมองว่ามีคนเดินทางเข้ามาทำบุญน้อยลงนั้น มองว่าเป็นเรื่องปกติที่วันเข้าพรรษาคนจะมาทำบุญกันน้อยกว่าในช่วงเทศกาลอื่นๆ ซึ่งปกติร้านของตนจะต้มไข่ขายวันละประมาณ 2-3 หมื่นฟอง ในช่วงเทศกาลสำคัญจะต้มขายได้วันละ 3-4 หมื่นฟอง ส่วนเทศกาลวันเข้าพรรษาที่ผ่านมาต้มไข่ขายได้วันละประมาณ 2 หมื่นฟอง เจ้าของร้านน้องเฟย์ไข่ต้มกล่าว
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : แม่ค้าโอดเศรษฐกิจแย่ กระแสพระฉาวซ้ำเติม ทำยอดขาย ‘ไข่ต้มแก้บน’ ทรุดถ้วนหน้า
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th