ส.ก.ถกยิบ - ชัชชาติตั้งงบฯปี69 ‘9.2หมื่นล้าน’ เปิดยอดเงินฝากกทม. - มั่นใจเก็บภาษีถึง

ส.ก.ลุกถกยิบ – ชัชชาติตั้งงบฯปี69 ‘9.2หมื่นล้าน’ เปิดยอดเงินฝาก 9 หมื่นล. แถลงดีเทล ‘ฐานะการคลัง’ มั่นใจ เก็บภาษีถึงรายจ่ายที่ตั้งไว้

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ดินแดง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยฝ่ายบริหาร ข้าราชการ และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ทั้ง 50 เขต เข้าร่วมการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญสมัยที่สาม (ครั้งที่ 5)ประจำปี พ.ศ.2568 โดยมี นายวิพุธ ศรีวะอุไร ส.ก.เขตบางรัก พรรคเพื่อไทย ดำรงตำแหน่งประธานสภา กทม. คนใหม่ แทนที่ นายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ส.ก.เขตลาดกระบัง โดยมีวาระการประชุมที่น่าสนใจ ได้แก่ ญัตติพิจารณาร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569

ในตอนหนึ่ง นายชัชชาติกล่าวว่า กทม.ขอเสนอญัตติดังกล่าว โดยกำหนดววงเงินให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสถานะการเงินการคลังของ กทม.บนหลักการ ‘มีประสิทธิภาพและโปร่งใส’ จำนวน 92,830 ล้าน จำแนกได้ดังนี้

1.งบประมาณของกทม. 92,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 92,000 ล้านบาท
2.งบประมาณการพาณิชย์ของ กทม. 830 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยรายจ่ายประจำ 823 ล้านบาท

นายชัชชาติกล่าวว่า เพื่อให้การพิจารณาร่างข้อบัญญัตินี้ เป็นไปโดยชอบตามกฎหมาย ตนจึงขอแถลงรายละเอียดเกี่ยวกับ ฐานะการคลัง สาระสำคัญของนโยบายงบประมาณ และความสัมพันธ์ระหว่างประมาณการรายรับ-งบรายจ่าย ที่ขอตั้ง โดยสังเขปต่อที่ประชุมสภากทม. ดังนี้

“จากสภาวะเศรษฐกิจของไทยโดยรวมในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวลดลง มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าโลก อันเป็นผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก รวมทั้งการเจรจาการค้ามีความยืดเยื้อ ประกอบกับความเสี่ยงจากความผันผวนในภาคเกษตร

ขณะเดียวกัน มีปัจจัยสนับสนุนเพิ่มขึ้นจากรายจ่าย การลงทุนภาครัฐ สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของกรอบวงเงินประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จึงต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายงบฯ เพื่อให้เม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐ สู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว และเพื่อรักษาแรงส่งจากการใช้จายภาครัฐ โดยมุ่งเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ และโครงการลงทุนของ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นไปตามแผนงาน ดังนั้น กทม. จึงจำเป็นต้องเร่งรัดเบิกจ่าย โดยเฉพาะงบฯ ลงทุน เพื่อเป็นการเสริมแรงส่งการใช้จ่ายภาครับ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง” นายชัชชาติกล่าว และว่า

ขณะเดียวกัน กทม. ให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการให้บริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ของกทม. การกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น ประกอบกับการวางรากฐานสาธารณสุข เพื่อฟื้นฟู เยียวยา การเตรียมพร้อมรับมือกับสาธารณภัยที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านการศึกษา ดังนั้น งบประมาณ จึงเป็นเครื่องมือขับเคลื่อน ทำให้เส้นเลือดฝอยเข้มแข็ง สามารถจัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างทันท่วงที

“สถานะการเงินการคลังของ กทม. ณ วันที่ 18 ก.ค.2568 กทม.มีเงินฝากธนาคารเป็นเงิน 90,990.6 ล้านบาท ประกอบด้วย

1.รายรับหักรายจ่ายสุทธิคงเหลือ 21,679.74 ล้านบาท 2.รายรับพิเศษ หักรายจ่ายพิเศษสิทธิคงเหลือ 72.76 ล้านบาท 3.เงินนอกงบประมาณที่มีภาระผูกพัน 2,175.73 ล้านบาท 4.เงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี ที่ยังเบิก 5,825.28 ล้านบาท 5.เงินสะสมของกทม. คงเหลือเป็นเงิน 51,669.06 ล้านบาท 6.ทุนสำรองเงินคงคลังกทม. 9,568.53 ล้านบาท

นอกจากนี้ กทม.ยังมีภาระนี้ตามโครงการต่อเนื่อง ที่ได้ก่อหนี้ผูกพัน ณ วันที่ 30 ก.ย.2567 จำนวน 192 โครงการ เป็นจำนวนเงินคงเหลือทั้งสิ้น 75,698.52 ล้านบาท โดยจำแนกออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

1.โครงการที่วงเงินสูงกว่า 1,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 5 หน่วยงาน 32 โครงการ มีภาระผูกพันตามสัญญาคงเหลือ 54,989.73 ล้านบาท หรือ 60.89 %

2.โครงการที่วงเงิน 500-1,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 5 หน่วยงาน 26 โครงการ มีภาระผูกพันตามสัญญาคงเหลือ 10,153.7 ล้านบาท

3.โครงการที่วงเงินต่ำกว่า 500 ล้านบาท ประกอบด้วย 25 หน่วยงาน 134 โครงการ มีภาระผูกพันตามสัญญาคงเหลือ 10,555.07 ล้านบาท

นายชัชชาติกล่าวต่อว่า ในปีงบประมาณ 2569 กทม.ประมาณการว่าจะจัดเก็บรายได้สุทธิทั้งสิ้น 92,000 ล้านบาท ที่จะสามารถนำมาจัดสรรเป็นรายจ่าย ซึ่งการบริหารรายจ่ายของกทม. ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง กับความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ พอเพียงและสามารถนำนโยบายของ กทม.ไปสู่การปฏิบัติ เกิดประโยชน์โดยตรงสูงสุดต่อประชาชน

“นโยบายจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2569 หน่วยรับงบฯ ยกเว้นการพาณิชย์ของกทม. ได้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายของกทม. ทั้งสิ้น 146,513.13 ล้านบาท ซึ่งตามข้อบัญญัติของกทม. กำหนดไว้ว่าห้ามตั้งรายจ่าย สูงกว่ารายได้ประจำ กทม.จึงมีนโยบายจัดทำงบฯ แบบสมดุล ตามความจำเป็นเร่งด่วน ภาระผูกพันต่างๆ เพื่อตั้งงบรายจ่ายฯปี 2569 ตามรายละเอียดดังนี้” นายชัชชาติกล่าว

จากนั้น แจกแจงรายละเอียด เพื่อสะท้อนของความสมดุลของประมาณที่ตั้งในปีนี้ อาทิ ประมาณการรายรับของกทม. รวมการพาณิชย์ 92,997.40 เพิ่มขึ้นจากประมาณการรายรับปีก่อน 1,993.25 ล้านบาท หรือ +2.9% เป็นต้น

ในตอนหนึ่งนายชัชชาติกล่าวว่า ตนขอกราบเรียนว่า ร่างข้อบัญญัติที่ได้นำเสนอนี้ ได้พิจารณาถึงเหตุผลตามภารกิจที่จะต้องคุ้มค่า ประหยัด คำนึงถึงผลสัมฤทธิ์ ประโยชน์ และสอดคล้องกับแผนพัฒนา (หลายฉบับ) รวมทั้งนโยบายการบริหาร กรุงเทพฯ เมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน นโยบาย 9 ด้าน 9 ดี จึงขอเสนอสภาฯ กทม.พิจารณารับหลักการในวาระที่ 1

จากนั้น นายชัชชาติ สรุปสาระสำคัญของการจัดทำงบประมาณฯ ปี 69 ดังนี้

นโยบาย 9 ด้าน 9 ดี แบ่งออกเป็น 28 ประเด็นคือ 1.เดินทางดี ขอจัดสรรงบฯ 1.4 หมื่นล้าน 2.ปลอดภัยดี ขอจัดสรรงบฯ 3.5 พันล้าน 3.โปร่งใสดี ขอจัดสรรงบฯ 99 ล้านบาท 4.สิ่งแวดล้อมดี ขอจัดสรรงบฯ 4.3 พันล้าน 5.สุขภาพดี ขอจัดสรรงบฯ 2.6 พันล้าน 6.เรียนดี ขอจัดสรรงบฯ 1.4 พันล้าน 7.เศรษฐกิจดี 29 ล้านบาท 8.สังคมดี ขอจัดสรรงบฯ 778 ล้านบาท 9.บริหารจัดการดี ขอจัดสรรงบฯ 819 ล้านบาท

สำหรับ งบฯ ลงทุนค่าที่ดิน สิ่งก่อสร้าง เพื่อจัดสรรลงสู่เส้นเลือดฝอยให้ครอบคลุม 50 เขต มีงบประมาณกว่า 5,056 ล้านบาท เน้นปรับปรุงถนน ตรอก ซอย ทางเดินเท้า ลานกีฬา สวนสาธารณะ ไฟฟ้าส่องสว่าง ระบบระบายน้ำ ขุดลอกคูคลอง รวมทั้งปรับปรุงโรงเรียน ศูนย์เด็กก่อนวัยเรียน และสถานที่ราชการให้ทันสมัย เพื่อให้มีความพร้อมให้บริการประชาชนทุกด้าน

โดยสรุป งบฯ ปี 2569 จำแนกตามลักษณะงานและรายจ่าย ดังนี้

1.การบริหารราชการ 17,963.02 ล้านบาท โดยได้รับอุดหนุนจากรัฐบาล 2,000 ล้านบาท

2.ด้านความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อย 543.88 ล้านบาทโดยได้รับอุดหนุนจากรัฐบาล 845.22 ล้านบาท

3.ด้านเศรษฐกิจและการพาณิชย์ 224.69 ล้านบาท

4.ด้านเมืองและการพัฒนาเมือง 14,406.22 ล้านบาท โดยได้รับอุดหนุนจากรัฐบาล 269.19 ล้านบาท

5.ด้านทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 10,548.24 ล้านบาท โดยได้รับอุดหนุนจากรัฐบาล 2,943.57 ล้านบาท

6.ด้านสาธารณสุข 2,718.71 ล้านบาท โดยได้รับอุดหนุนจากรัฐบาล 659.20 ล้านบาท

7.ด้านพัฒนาสังคมและชุมชนเมือง 1,830.47 ล้านบาท โดยได้รับอุดหนุนจากรัฐบาล 9,550.48 ล้านบาท
8.ด้านการศึกษา 718.65 ล้านบาท โดยได้รับอุดหนุนจากรัฐบาล 13,053.44 ล้านบาท

9.การบริหารจัดการของสำนักงานเขต 22,709.44 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังมีงบประมาณด้านการศึกษารวมในวงเงินดังกล่าวอีก 3,430.71 ล้านบาท

10.รายจ่ายงบกลาง 17,450.01 ล้านบาท โดยเป็นเงินสำรองจ่ายทั่วไป 1,380 ล้านบาท ซึ่งเป็นอำนาจของผู้ว่าฯกทม.

11.รายจ่ายเพื่ออุดหนุนหน่วยงานในกำกับ 2,880.67 ล้านบาท

“ตามที่กระผมได้แถลงสาระสำคัญของงบประมาณรายจ่าย ปี 2569 แล้วนั้น เป็นเพียงส่วนสำคัญในเบื้องต้น ที่นำมาแถลงให้ที่ประชุมสภาฯ กทม.ได้รับทราบ สำหรับรายละเอียดจะปรากฏในเอกสารที่ได้นำเสนอต่อสมาชิกทุกท่านแล้ว จึงหวังว่า ท่านได้ให้การสนับสนุนและรับหลักการของร่างข้อบัญญัติฉบับนี้ เพื่อยึดถือเป็นหลักในการใช้จ่ายของ กทม. เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และ กทม.สืบไป” นายชัชชาติกล่าว

โดยเมื่อกล่าวจบมี ส.ก.หลายท่านร่วมเสนอความเห็นต่อร่าง ข้อบัญญัติดังกล่าว

ในตอนหนึ่งนายสุทธิชัย วีรกุลสุนทร ส.ก.เขตจอมทอง กล่าวถึงรายละเอียดที่แต่ละเขตได้รับการสนับสนุนงบประมาณในสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย พร้อมยกปัญหาในพื้นที่ซึ่งมีความจำเป็นต้องได้รับการจัดสรร เมื่อเทียบกับ ‘งบกลาง’ ที่บางส่วนไม่มีรายละเอียด ซึ่งเป็นสัดส่วนมากถึง 5% ในขณะที่สำนักหรือเขตต่างๆ ต้องชี้แจงรายละเอียดลงลึกเมื่อของบประมาณ พร้อมยกความจำเป็นโดยละเอียด รวมถึงโครงการแต่ละสำนักของกทม. กำลังดำเนินการ อาทิ ด้านการระบายน้ำ ก่อสร้างศูนย์ฝึกอบรมดับเพลิงและกู้ภัย กทม.ระยะที่ 2 เป็นต้น

ด้าน นายสัณหสิทธิ์ เนาถาวร ส.ก.เขตวัฒนา ยกกรณีตึก สตง.ถล่ม โดยกล่าวในตอนหนึ่งว่า ขอให้ผู้บริหารชี้แจงอัตราที่ลดลงในเรื่องงานออกแบบและควบคุมอาคาร ซึ่งค่อนข้างตกใจที่อาคารของภาครัฐซึ่งกำลังสร้าง สำนักการโยธาฯ มีหน้าที่เพียงรับทราบเท่านั้น ไม่ได้ผ่านขั้นตอนพิจารณาของสำนักการโยธาฯ ที่ควรดำเนินการตรวจสอบ ซึ่งหากเป็นไปได้ ตนเชื่อว่า เหตุการณ์ตึกถล่มจะไม่เกิดขึ้น

รวมถึงตั้งข้อสังเกตด้าน ‘งบลงทุนค่าครุภัณฑ์’ ทั้งเครื่องตรวจวัด ตรวจสอบน้ำหนักรถบรรทุก ที่อยากทราบว่าใครเป็นผู้วัดผล รวมถึงใครเป็นผู้เก็บค่าปรับ ใครมีส่วนได้เสีย เนื่องจากเป็นงบฯ ของกทม. แต่ตำรวจจราจรเป็นผู้มีอำนาจออกใบสั่งเป็นต้น เกรงจะเป็นการตีเช็กเปล่า

ด้าน นายวิรัช คงคาเขตร ส.ก.เขตบางกอกใหญ่ กล่าวในตอนหนึ่งว่า ตนคิดแบบคนกรุงเทพฯ ในลักษณะที่น่าจะน้อยใจ แทนที่คนกรุงเทพฯ จากจำนวน 9.2 หมื่นล้านเป็นตัวตั้ง ต่อคน กทม. 5.5 ล้านคน
“ผมจะมีสิทธิใช้เงิน เป็นจำนวน 16,000 บาท น่าดีใจนะ แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ได้ใช้ตามตัวเลขนั้น ปรากฏว่าในข้อเท็จจริง มีประชากรแฝง คนที่เคลื่อนย้ายในจังหวัดใกล้เคียงอย่าง สมุทรปราการ นนทบุรี ซึ่งผมไม่ได้ว่าเขา แต่เขามีส่วนรับบริการนี้เช่นกัน ยังไม่นับรวมแรงงานข้ามชาติ ที่ต้องเข้าห้องน้ำ ทิ้งขยะเหมือนกัน มันเป็นเรื่องที่ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นน้อยใจ แนวคิดของผมตรงนี้อยากให้เข้าใจบริบทตัวเลขด้วยในพิจารณางบ เพราะมีสัดส่วนที่หายไปจากที่คน กทม.ควรจะได้รับ ครึ่งต่อครึ่ง” นายวิรัชกล่าว

นอกจากนี้ ยังมีผู้ร่วมอภิปรายอีกเป็นจำนวนมาก อาทิ นายสมชาย เต็มไพบูลย์กุล ส.ก.เขตคลองสาน ที่สะท้อนวิธีการจัดสรรงบฯ โดยมีข้อกังวลและห่วงใยในบางมุมมอง ซึ่ง ส.ก.หลายท่านอาจมองว่า เหตุใดจึงมีค่าใช้จ่ายต่อเนื่องทุกปีและมีความคุ้มค่าหรือไม่ โดย นายสมชายเสนอ 4 หัวข้อ ซึ่งโฟกัสในส่วนงบฯ พัฒนาชุมชน โดยเฉพาะปี 2558 ที่ตั้งข้อสังเกตว่า มีงบค้างท่อ ค่อนข้างเยอะมาก

“บางเขตมีความฉลาด ผู้บริหารไปกำหนดตัวชี้วัดโดยใช้จำนวนเขต เกิดการไปร้องขอชุมชนว่าช่วยทำงบฯ หน่อย บางเขตน่าเกลียด 200,000 ทำมา 5000 บ้าง 10,000 บ้าง ไม่ถึง 20,000 ซึ่งมีรายการที่ขอกันในระดับต่ำแบบนี้หลายเขต จึงขอนำเรียนว่า ทำไมผู้บริหาร กทม.จึงไม่กำหนดตัวชี้วัด เป็นเงินที่ใช้จ่ายจริง” นายสมชายกล่าว

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ส.ก.ถกยิบ – ชัชชาติตั้งงบฯปี69 ‘9.2หมื่นล้าน’ เปิดยอดเงินฝากกทม. – มั่นใจเก็บภาษีถึง

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th