โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ยานยนต์

ดีลอยท์ เผยผลสำรวจ พบคนไทยหันกลับมาสนใจรถน้ำมันมากขึ้นถึง 32%

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ภาพไฮไลต์

ดีลอยท์ เผยผลสำรวจ พบคนไทยหันกลับมาสนใจรถน้ำมันมากขึ้นถึง 32% เมื่อเทียบกับปี 67 โดยปัจจัยเรื่องค่าครองชีพ และความคุ้มค่ายังเป็นจุดสำคัญ ทำให้การเลือกรถไฟฟ้า BEV ปรับตัวลง

นายมงคล สมผล Automotive Sector Leader ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า จากผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศไทยกว่า 1,000 คน พบว่าคนไทยหันกลับมาสนใจรถยนต์สันดาป หรือ ICE มากขึ้นมาเป็น 32% จากปี 2567 ซึ่งสอดคล้องกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่สวนทางกับแนวโน้มทั่วโลก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายสูง ทำให้รถยนต์สันดาปเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่า

อย่างไรก็ตาม ไทยก็เป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่มีสัดส่วนความสนใจประเภทเครื่องยนต์ที่ค่อนข้างสมดุลกัน โดย 36% ของผู้บริโภคไทยกล่าวว่า รถคันต่อไปที่จะซื้อเป็นรถสันดาป ตามมาด้วยปลั๊กอินไฮบริด หรือ PHEV ที่ 21% รถไฟฟ้าแบตเตอรี่ หรือ BEV ที่ 20% และไฮบริด หรือ HEV ที่ 17% ซึ่งถ้าเทียบกับภูมิภาค ยกเว้นสิงคโปร์ ผู้ทำแบบสอบถามจะสนใจรถยนต์สันดาปมากกว่า 50%

ขณะที่การขาดแคลนสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ายังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยน่ากังวลหลัก แต่คนไทยกลับกังวลเรื่องนี้น้อยสุดในภูมิภาคและปรับตัวลงกว่า 43% เมื่อเทียบกับปีก่อน เหลือเพียง 26% ในปีนี้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จของประเทศที่เพิ่มขึ้น

แต่สิ่งที่คนไทยกังวลมากที่สุด คือ เรื่องค่าใช้จ่าย ระยะทางการวิ่ง และระยะเวลาการชาร์จ โดยผลสำรวจระบุว่า คนไทยมีพฤติกรรมใจร้อนที่สุดในภูมิภาค และเกือบครึ่งคาดหวังว่าแบตเตอรี่รถ BEV ควรจะชาร์จจาก 0% ถึง 80% ภายในไม่เกิน 20 นาที

เมื่อเจาะจงก็พบว่า 40% คาดหวังว่าการชาร์จหนึ่งครั้งต้องเดินทางได้มากกว่า 400 กม.ขึ้นไป โดยปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการชาร์จรถนอกบ้าน คือ เวลาในการชาร์จที่รวดเร็ว ความปลอดภัยส่วนบุคคล และจุดที่ตั้งหาง่ายเข้าถึงสะดวก

ส่วนปัจจัยหลักที่ผลักดันให้คนไทยสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นตามลำดับ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงถูกลง สิ่งแวดล้อม และประสบการณ์การขับขี่ เช่น เสียงเงียบ หรือการเร่งตัวดี และมากกว่า 2 ใน 3 ของทั้งภูมิภาคต่างตั้งใจว่าจะเปลี่ยนยี่ห้อรถยนต์คันต่อไป และให้ความสำคัญของภาพลักษณ์ของแบรนด์กับความคุ้นเคยรถยนต์น้อยลงไปอยู่เป็น อันดับที่ 5 และ 6 ในการตัดสินใจเลือกซื้อ

โดยคนในไทยให้ความสำคัญมากที่สุด คือ คุณภาพตัวรถ ราคา และออฟชั่น หรือฟีเจอร์ต่าง ๆ ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคในปัจจุบันตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์จากคุณค่าที่จับต้องได้ของตัวรถยนต์ มากกว่าการพิจารณาเรื่องแบรนด์

นายโชดก ปัญญาวรานันท์ ผู้จัดการอาวุโส แผนก Growth ดีลอยท์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ผู้ตอบแบบสอบถามในไทยมีแนวโน้มที่จะขับรถทางไกลต่อเดือนมากสุดในภูมิภาค (มากกว่า 100 กม.) และครึ่งหนึ่งใช้รถยนต์ทุกวัน เพราะฉะนั้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอาจจะเป็นสิ่งยังจำเป็นต้องทำต่อไป

ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าคนไทยต้องการลดความจำเป็นในการไปเยี่ยมชมตัวแทนจำหน่ายด้วยตนเอง ในขณะที่ 93% ยังยืนยันว่าต้องการสัมผัสรถยนต์จริงก่อนซื้อ และ 90% ต้องการทดลองขับก่อน สะท้อนถึงความต้องการประสบการณ์ในการซื้อแบบผสมผสาน (Hybrid) ที่ระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์

เมื่อเทียบกับภูมิภาค คนไทยให้ความสำคัญมากที่สุดกับรถยนต์ประกอบในประเทศ ซึ่ง 71% มองเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อ สะท้อนความเชื่อมั่นในคุณภาพการประกอบรถยนต์ของไทย และอาจรวมถึงราคาที่ถูกลงตามมาด้วย

นอกจากนี้ ยังให้ความไว้วางใจตัวแทนจำหน่าย หรือ Dealer มากกว่าผู้ผลิตในการบริหารจัดการข้อมูลของรถ ตอกย้ำบทบาทที่สำคัญของเครือข่าย Dealer ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นในภูมิภาคที่เชื่อมั่นในผู้ผลิตรถยนต์เป็นหลัก

"ผู้บริโภคมีความอ่อนไหวและเปลี่ยนแปลงไวกว่าที่คิด การนำเสนอสินค้าและบริการที่ครอบคลุมและตอบทุกโจทย์ของผู้บริโภค อาจจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าการมุ่งพัฒนาด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว"

แต่ปัจจัยกดดันตอนนี้สำหรับผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ในไทย คือสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เนื่องจากไทยมีหนี้เสียที่มีอยู่ระบบมาก จนทำให้ธนาคารเคร่งครัดในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงตัวเลขยอดขายรถมือสองเพิ่มขึ้นเป็นอุปสรรคต่อรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อรถยนต์สันดาปที่มีวงจรอะไหล่ครบถ้วน เข้าถึงง่ายกว่า มูลค่าในการขายต่อที่ดี และเบี้ยประกันรถที่คาดเดาได้

ดีลอยท์ พบว่ากลุ่มผู้บริโภคที่อายุระหว่าง 18-34 ปีมีแนวโน้มชัดเจนว่าสนใจครอบครองรถยนต์ส่วนตัวน้อยลง แต่หันไปเลือกใช้บริการเดินทางรวมครบวงจร เช่น การประสานแพล็ตฟอร์ม Carsharing เข้ากับขนส่งมวลชน หรือ Mobility-as-a-Service (MaaS) มากขึ้น ทั้งนี้ ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 3 ของภูมิภาคที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจ (55%) รองจากเวียดนาม (67%) และอินโดนีเซีย (58%)

รวมถึง สอดคล้องกับความสนใจในบริการรถยนต์แบบบอกรับสมาชิก (Subscription) ที่สูงขึ้นเช่นกัน โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับ 2 ของภูมิภาค (49%) รองจากเวียดนาม (66%) ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสสำหรับผู้ประกอบการในระบบนิเวศยานยนต์ในการปรับกลยุทธ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ซับซ้อนขึ้น

"แม้ว่าบรรยากาศในอุตสาหกรรมยานยนต์โดยเฉพาะในประเทศไทยขณะนี้อาจดูไม่คึกคัก แต่สิ่งที่สำคัญคือการตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่เป็นความท้าทาย แต่ยังแฝงไปด้วยโอกาสใหม่ ๆ ที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตและความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นนี้"

ทั้งนี้ ผู้บริโภคในภูมิภาคเปิดรับเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในรถยนต์อย่างกว้างขวาง โดยคนไทย (75%) มองว่าการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในระบบของยานยนต์เป็นประโยชน์ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดเป็นอันดับที่สามในภูมิภาคตามหลังเวียดนาม (84%) และอินโดนีเซีย (78%) เช่นเดียวกับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนที่ได้รับความนิยมในระดับสูงเช่นกัน ซึ่งผู้บริโภคในไทย 74% มองว่าเป็นสิ่งสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคในภูมิภาคกลับแสดงความกังวลหากอนาคตใช้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทควบคุมการขับขี่โดยตรง โดยผลสำรวจพบว่าผู้บริโภคเกือบครึ่งหนึ่งแสดงความกังวลต่อการมีรถยนต์ไร้คนขับในพื้นที่ใกล้บ้าน และความกังวลนี้เพิ่มสูงขึ้นไปอีกเมื่อเป็นกรณีของรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติบนทางหลวง ถึงแม้ในปัจจุบันจะยังไม่มีการให้บริการในภูมิภาคก็ตาม

นายซองจิน ลี Southeast Asia Automotive Sector Leader, ดีลอยท์ เซาท์อีสท์เอเชีย กล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์มีขนาดใหญ่ ระบบนิเวศซับซ้อนและหยั่งรากลึก เมื่อเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจะเกิดผลกระทบขนาดใหญ่และระยะยาว ดังนั้น ต้องคำนึงถึงมุมมอง ความต้องการ และความพร้อมของผู้บริโภคเป็นพื้นฐานสำคัญ

อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของผู้บริโภคการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา รวดเร็ว โดยผู้ซื้อเริ่มมองรถยนต์ไม่ใช่เป็นเพียงสินทรัพย์การลงทุนระยะยาว แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องตอบสนองความต้องการในปัจจุบันและสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แนวโน้มนี้บ่งชี้ว่ารถยนต์อาจเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่เคลื่อนไหวเร็ว หรือ FMCG ที่ถูกจับจ่ายใช้สอยและหมุนเวียนรวดเร็วมากยิ่งขึ้นในอนาคต

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ดีลอยท์ เผยผลสำรวจ พบคนไทยหันกลับมาสนใจรถน้ำมันมากขึ้นถึง 32%

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

ผู้นำฝ่ายค้านลงพื้นที่สุรินทร์ดูความเสียหาย ป้าเดือดชาวบ้านทุกข์ยาก สส. ไปอยู่ไหน

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ชมพู่ เล่าถึง น้องเกล วันนี้ใส่เสื้อสีเขียวไปเรียนแล้ว เผยดาราสาวแหกทุกกฎ (คลิป)

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา
วิดีโอ

"หลวงพ่ออลงกต" ยันยังไม่ลาออกเจ้าอาวาส ชี้มีบุญมาก ก็ย่อมมี “มารผจญ”

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา
วิดีโอ

เฉลยกระซิบอะไร หลัง “เต้ สุผจญ” ลงพื้นที่คุยนานาชาติ ก่อนโดนดึงกระซิบบางอย่าง

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความยานยนต์อื่น ๆ

ลีปมอเตอร์เดินหน้าขยายโชว์รูม ตั้งเป้า 15 แห่งสิ้นปี 2568 – ลุยเปิดตัว B10 ต.ค.นี้ ดันยอดขายครึ่งปีหลังทะลุ 600 คัน

Manager Online

โตโยต้า ดึงมอเตอร์สปอร์ต ปลุกตลาดภาคใต้ เปิดตัว Toyota GR Supra Track Edition

ฐานเศรษฐกิจ

"กวาร์ตาราโร" ฮึดคว้าแต้ม โมโตจีพี ออสเตรีย รั้งท็อปเท็นคะแนนสะสม

WeR NEWS

Lotus Car ประเทศไทย เพิ่มทางเลือกรถยนต์ไฟฟ้า Emeya และ Eletre ราคาเริ่มต้นที่ 4,890,000-5,290,000 บาท เท่านั้น !

autoinfo.co.th

มาสด้าจับมือ “อารีมิตร” ทุ่มงบกว่า 100 ล้าน เปิดโชว์รูมมหาสารคาม ยกระดับบริการครอบคลุม 3 จังหวัดอีสาน

Manager Online

"กวาร์ตาราโร-รินส์" หวังยกระดับ M1 ชี้การยึดเกาะมีผลต่อศักยภาพรถแข่งที่ ออสเตรีย

WeR NEWS

ข่าวและบทความยอดนิยม

ย้อนรอยวิวัฒนาการอุตสาหกรรมยานยนต์จีน จากไม่มีอะไรจนกลายเป็นผู้นำเทรนโลก!

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

ดีลอยท์ เผยผลสำรวจ พบคนไทยหันกลับมาสนใจรถน้ำมันมากขึ้นถึง 32%

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

Honda ถอยทัพ EV พร้อมเปิดตัวรถไฮบริด เจนใหม่ 13 รุ่นทั่วโลกภายในปี 2027

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...