ดรามา! #แบนโศกาภิวัฒน์ ผู้กำกับแจงซื้อลิขสิทธิ์ถูกต้อง ไม่รู้มาก่อนเป็นแฟนฟิคชั่น เข้าใจว่าเป็นนิยาย
หนัง “โศกาภิวัฒน์” เจอดรามา #แบนโศกาภิวัฒน์ หลังถูกแฉต้นฉบับมาจากแฟนฟิคชั่น ผู้กำกับ “แบงค์ ณัฐชัย” ยันซื้อลิขสิทธิ์ถูกต้อง ขอโทษแฟนฟิคชั่น พร้อมแจงขั้นตอนทำงาน เผยไม่รู้มาก่อนว่าเป็นแฟนฟิคชั่น เข้าใจว่าเป็นนิยาย
สองหู อย่าฟัง … หนึ่งใจ หนึ่งความคิด อย่าริอาจใช้ … สองมือ อย่าจับ … หนึ่งปากอย่าพูด … หนึ่งจมูกอย่าได้กลิ่น … สองขา อย่าคิดหนี … สองตาที่ข้ามี “หากคิดหนีขอให้ตาย”
…นี่คือบทกลอนท่องก่อนกินข้าว เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายที่แม่สอน ซึ่งเป็นส่วนนึงใน “แฟนฟิคชั่น” และก็ถูกนำมาใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้…
#แบนโศกาภิวัฒน์กลายเป็นกระแสติดเทรนด์ X มาได้เดือนกว่าๆ แล้ว หลังทางผู้จัดได้ปล่อยโปสเตอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมา พร้อมดรามาว่า “โศกาภิวัฒน์” นั้นเอามาทำเป็นหนังได้อย่างไร? เพราะต้นฉบับจริงมาจาก “แฟนฟิคชั่น” เพราะตามกฎของแฟนฟิคชั่น งานเขียนหรืองานวาดที่สร้างสรรค์ต่อยอดจากความชอบในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น บุคคลสาธารณะ ภาพยนตร์ ซีรีส์ แอนิเมชัน เกม นิยาย มังงะ ฯลฯ ทั้งนี้ เมื่อเลือกเป็นแฟนฟิคชั่นแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนเป็นนิยายออริจินัลได้
ซึ่งทางต้นสังกัดของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้ออกจดหมายชี้แจงในประเด็นดังกล่าวว่าที่สนใจในนิยายเรื่องนี้ เพราะเป็นการนำเสนอ “ครอบครัว” ในมุมที่แตกต่าง จึงติดต่อซื้อลิขสิทธิ์ไปยังนักเขียน แล้วจึงนำมาพัฒนาต่อเป็นบทภาพยนตร์อย่างที่ทุกคนได้เห็น
แต่เหมือนคำชี้แจงไม่ส่งผล เพราะแฮชแท็ก #แบนโศกาภิวัฒน์ ยังคงถูกพูดถึงในทุกๆ วันในโลกโซเซียล ด้านผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ “แบงค์ ณัฐชัย จิระอานนท์”ขอโทษแฟนฟิคของเรื่องนี้ พร้อมอธิบายเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ถึงขั้นตอนการทำงาน จาก “นิยาย” สู่ “ภาพยนตร์” ให้ทุกคนได้ชมตอนนี้
“ยอมรับว่าก็เครียด ก็รู้สึกว่าทำไมมันมากองอยู่ที่เรา ทั้งที่แบบว่าเราก็เป็นคนทำงานคนหนึ่ง ที่ทำงานรับบรีฟมา ก็พยายามทำงานให้มันดีที่สุด แต่เราก็เข้าใจว่ายังไงซะ เราก็คือผู้กำกับ มันก็ไม่แปลกที่คนก็พยายามเข้ามาที่เรา ก็อยากให้เห็นใจกันนิดนึง ก็เข้าใจว่า ผกก.คือตัวแทนของหนัง แต่ในการทำงานจริงมันต้องผ่านขั้นตอนหลายๆ อย่าง ต้องผ่านขบวนการหลายอย่างมาก ซึ่งหลายๆ ขบวนการมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราคนเดียว เราไม่ได้ตัดสินใจคนเดียว เข้าใจแหล่ะว่าอยากเอามาที่แบงค์ แต่อยากให้เห็นใจบางทีขอให้รอหน่อย รอฟัง รอตกผลึกนิดนึงว่า อันนี้มันคือพาร์ตของแบงค์จริงๆ มั้ย
มันโดนเคาะจากทางผู้ใหญ่มาก่อน แล้วเราเอามาพัฒนาให้เป็นบทหนังอีกทีหนึ่ง คนอาจจะไม่เข้าใจแล้วก็ถามกันมาเยอะว่า ทำไมเราถึงใช้คำว่า 'เขียนบท' ซึ่งแบงค์ก็ต้องแจงให้ชัดเจนว่า เขียนบท ก็คือเขียนบท เขียนนิยาย ก็คือเขียนนิยาย มันเป็นเรื่องสากลมากคือเรารับเรื่องของเขามา แล้วให้เครดิตว่าสุดท้ายแล้วหนังเรื่องนี้มันมาจากนิยายเรื่องอะไร
ซึ่งถ้าลอกคือการไปเอามาใช้โดยทีไม่ได้แจ้งเจ้าของเรื่อง หรือว่าไม่ได้ซื้อขายจากเจ้าของเรื่อง แต่ในเคสนี้ทางค่ายติดต่อซื้อขายเรื่องมาถูกต้องตามกฎหมาย และเราก็ยังเล่าว่าชื่อเรื่องมันคือ โศกาภิวัฒน์ ชื่อเดียวกับนิยาย เพราะฉะนั้นเรามองว่ามันไม่ใช่การลอก ทุกอย่างมันดัดแปลงจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว และเพิ่งรู้ว่าเป็นดรามาก็ตอนนี้แหละครับ
ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นแฟนฟิคมาก่อน คือเราพอจะเคยได้ยินคำว่าแฟนฟิคนะ แต่เราไม่เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ ว่ากลไกของแฟนฟิคมันคืออะไร หรือว่าวัฒนธรรม คอมมูนิตี้ของคนในกลุ่มคนที่อ่านแฟนฟิคมันเป็นยังไง คือเรากับทางค่ายก็จะรู้เพียงแค่ว่ามันเป็นนิยายที่มันเป็นเล่ม จับต้องได้ และตัวแแบงค์เองที่ทำงานพัฒนาเป็นบท แบงค์ก็อ่านมาจากนิยายที่มันเป็นเล่ม คือเป็นไฟล์ที่เป็นบทบรรยาย มีพรรณนาโวหาร เหมือนนิยายปกติ ไม่ได้มี artwork ใดที่เชื่อมโยงกับศิลปินท่านใด มันคือนิยาย แค่รับรู้ว่ามันมีอยู่ในออนไลน์เหมือนกันนะ
โอเคมันเป็นเรื่องที่ใหม่สำหรับเรานิดนึง พยายามทำความเข้าใจอยู่ แต่ก็อยากให้คนในคอมมูนิตี้ของแฟนฟิคเข้าใจผู้สร้างด้วยเหมือนกันว่า คำว่าแฟนฟิค เราเข้าใจไม่เหมือนกัน พอเกิดเรื่องขึ้นมาแล้ว เราก็พยายามเข้าใจพวกเขา เราเองก็มั่นใจว่าเราทำทุกอย่างแบบตรงไปตรงมา แล้วเราเปิดเผย เพราะว่าถ้าไม่ตรงไปตรงมา คือแบงค์ลงรูปตั้งแต่บวงสรวงในเฟซบุ๊กของแบงก์ตั้งแต่เดือนกุมภาฯ นักแสดงก็ลงช่วงเดียวกัน แล้วเราก็ใช้ #โศกาภิวัฒน์ อย่างชัดเจน ถูกต้องมั้ยครับ ตั้งแต่กุมภาฯ ซึ่งแบงก์ตั้งใจที่จะเลี่ยงดรามาอะไร เราจะใช้ # นี้ทำไม คือเราทำไปด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เพราะเราซื้อขายกันมา เราทำถูกต้องทุกอย่าง แล้วดราม่าก็เพิ่งมาเกิดช่วงนี้ ที่หนังจะเข้าฉาย มีบางคนบอกว่าแบงค์พยายามหลีกเลี่ยงหรือเปล่าไม่ให้มันเกิดดรามา
และเพิ่งเข้าใจคำว่า แฟนฟิค ก็ตอนที่มันเป็นดราม่าขึ้นมาแล้ว ก่อนหน้านี้เห็นศิลปินมั้ย เห็นนะแต่ไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม ซึ่งที่แบงค์เข้าใจแค่ว่า อ๋อ…พอมันเป็นนิยายที่เป็นเล่ม อย่างที่แบงค์บอกว่าคือแบงค์ได้อ่านที่มันเป็นเล่ม เราก็นึกว่าเขาชื่นชอบที่มันเป็นเล่ม แล้วพอเขาอิน แล้วอยากมีวิชวลบางอย่างที่รีเรทได้ อันนี้อยากจะขอโทษไว้ก่อนเลย อย่าเพิ่งตำหนิแบงค์ คือแบงค์เข้าใจเช่นนั้นจริงๆ แล้วแบงก์ทำงานมาจากตัวเล่มจริงๆ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าแฟนฟิคมันคืออะไร
ตามที่ค่ายได้ออกแถลงออกไปว่าเราซื้อลิขสิทธิ์มาจากนิยายอย่างถูกต้อง ส่วนเรื่องว่าได้มีการพูดคุยกับนักเขียนมั้ย แบงค์ไม่ทราบจริงๆ (คิดว่าทางค่ายที่ซื้อลิขสิทธิ์มาโดนหลอกมั้ย?) แบงค์ว่าไม่นะ กลับไปที่แบงค์พูดไปแล้ว แค่ความเข้าใจคำว่าแฟนฟิคของเรามันไม่พอ แบงก์เข้าใจว่าอะไร เข้าใจว่าคือแฟนนิยาย ที่อ่านนิยายแล้วชอบ แล้วก็อยากเติมเต็มเห็นเป็นวิชวลคนขึ้นมา ตอนนั้นเข้าใจอย่างนั้น”
ผิดจรรยาบรรณ? ตอบแทนไม่ได้
“แบงค์พูดตรงๆ ว่า แบงก์พยายามทำความเข้าใจกับทุกคน แต่ในมุมนึงคือแบงก์รู้สึก เราต้องเคลียร์กันในมุมนี้ก่อนว่า มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย เพราะอะไร .. เพราะนักเขียนเขาก็คงคิดสตอรี่ของเขา คิดชื่อตัวละครของเขาขึ้นมา เขาก็สามารถที่จะเอาไปรีไรต์หรือเติมเต็มให้มันเป็นเล่มนิยายมา แต่ถามว่าเหมาะสมมั้ย มองว่าผิดจรรยาบรรณมั้ยอันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งแบงค์ไม่สามารถตอบแทน เพราะแบงค์มองว่าตรงนี้มันเป็นรีเลชั่นของตัวนักเขียนกับตัวคอมมูนิตี้ของแฟนฟิค”
ยันทำทุกอย่างเปิดเผย บริสุทธิ์ใจ
“และประเด็นที่แบงค์อยากเคลียร์มากเลย แบงค์ขอโทษก่อนเลยครับ ขอโทษคอมมูนิตี้ของแฟนฟิค ขอยืนยันว่าค่ายและตัวแบงค์เองทำทุกอย่างเปิดเผย และบริสุทธิ์ใจ เจตนาของเราไม่ได้มีอะไรลับลมคมในไปกว่านั้น แต่ก็ยอมรับว่าพอมันเกิดเรื่องขึ้น เราก็พยายามเข้าใจ เราไม่ได้ปล่อยผ่าน พยายามทำความเข้าใจในความรู้สึกของพวกเขา มันเป็นเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจของพวกเขา เขาไม่สบายใจกัน อันนี้เราในฐานะ ผกก. ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ตัวผมที่เป็น ผกก.เองก็ไม่มีเจตนาจะหากินจากคอมมูนิตี้ของพวกเขา
เพราะว่าการที่เราเอา 'โศกาภิวัฒน์' มาเนี่ย เราเอามาเพราะว่า หนึ่งคือทางผู้ใหญ่เขาชอบพล็อตของความเป็นครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่มาจากต่างพ่อท้องแม่กัน 8 คน ไม่ได้เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน แต่เขาสามารถที่จะรักกัน ไม่ทอดทิ้งกัน นี่คือเรื่องที่ผู้ใหญ่ชอบ หรือความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก ซึ่งส่วนตัวแบงก์ก็ชอบตรงนั้นด้วย ชอบพาร์ตที่เป็น setting ของความเป็น horror เพราะฉะนั้นตอนที่เรารับมา เราก็เอามาตีความใหม่หมดเลย ที่แบงค์บอกว่าไม่ได้มีเจตนาจะหากินกับคอมูนิตี้ของพวกเขา เพราะว่าตัวละครเราก็ตีความใหม่หมด
คำว่าตีความของแบงค์ คือแบงค์ไม่ได้ตีความเพื่อบิดหนี แต่เราตีความเพราะเรารู้สึกว่าเราอยากให้ตัวละคร 8 ตัว คาแรกเตอร์มันแตกต่างกัน อย่างที่บอกเพราะแบงก์ไม่เคยอ่านแฟนฟิค เราก็ไม่ได้รู้ว่าคาแรกเตอร์ในแฟนฟิคเป็นยังไง แล้วส่วนตัวคาแรกเตอร์ในนิยายเองมันก็บางมากๆ พอมันบางมากๆ พอมาเป็นหนังเราไม่อยากให้ 8 คนยืนอยู่ด้วยกันแล้วคาแรกเตอร์มันเป็นอันเดียวกันเราก็ต้องตีความเพิ่มเยอะมาก แต่การตีความในทีนี้ไม่ใช่เพื่อจะหนี แต่เพื่อความสมบูรณ์ของการเล่าเรื่อง
ถามว่าดรามานี้จะมีผลต่อหนังไหม แบงค์รู้สึกว่ามันส่งผลในแง่ที่เรายังคงต้องสื่อสารซึ่งกันและกันต่อไป พอมันเกิดดรามาขึ้นมาแล้ว ก็อยากให้เข้าใจกันว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องของคนสองคน มันเป็นเรื่องของคนหลายๆ คน มันมีเรื่องของคอมมูนิตี้แฟนฟิค มันมีเรื่องของนักเขียน มีเรื่องของตัวแบงก์ที่เป็น ผกก. มันมีเรื่องของค่าย ซึ่งพอมันมีบุคคลที่โดนผลกระทบ นักแสดงอีก ทีมงานอีก แบงค์ไม่สามารถที่จะออกมาแล้วพูดเลย เราก็ต้องมีการแจ้ง ขออนุญาตบุคคลที่เราต้องพาดพิงถึง ว่าเราพูดได้มั้ย เราก็รู้สึกว่า เราอยากให้เข้าใจกันว่าเราไม่ได้ตีมึน เงียบ แต่มันเป็นเรื่องที่ยังคงต้องสื่อสารซึ่งกันและกันต่อไป เพราะว่าจริงๆ แล้วคงไม่มีใครชอบเรื่องดรามา ไม่อยากให้เกิดเรื่องดรามาขึ้น แต่พอมันเกิดขึ้นอย่างตอนนี้ทางคอมมูนิตี้เขาก็พยายามสื่อสารกับแบงค์ เราก็คิดว่าตัวแบงค์เองกับทางค่ายก็ต้องค่อยๆ สื่อสารออกไปเหมือนกัน”
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO