‘นิยม เวชกามา’ ทำหนังสือกราบทูล ‘สมเด็จพระสังฆราช’ เสนอแนวปฏิบัติการบริหารศาสนสมบัติวัด
เมื่อวันที่ 16 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนิยม เวชกามา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตร ได้ทำหนังสือกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช โดยส่งถึง สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เรื่อง ขอความเมตตาประทานกราบทูลฝ่าพระบาท เสนอแนวทางการปฏิบัติสำหรับการบริหารศาสนสมบัติวัด เพื่ออนุวัติให้เป็นไปตามมติมหาเถรสมาคม (มส.) ครั้งที่ 19/2568 โดยระบุว่า สืบเนื่องจากการที่ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคมได้เสนอให้ที่ประชุมมส. วางหลักเกณฑ์ให้เจ้าอาวาสเป็นผู้มีหน้าที่ในการบริหารจัดการศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย รายละเอียดปรากฏตามที่ผอ.พศ.ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคมได้ลงนามในมติมส.ครั้งที่ 19/2568 แจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบกันโดยทั่วไปแล้ว นั้น
ในกรณีดังกล่าว เกล้ากระหม่อมในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุชาติ ตันเจริญ ซึ่งเป็นผู้ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้กำกับราชการพศ.แทนนายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาและคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาจากมติมส.ดังกล่าว จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะขอประทานอนุญาตกราบทูลฝ่าพระบาทเสนอแนวทางการปฏิบัติ ที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับวัดต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักรอันเป็นความละเอียดอ่อนอย่างยิ่งหากขาดความระมัดระวังและต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงในปัจจุบันเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ฉุกคิดและกำหนดเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป ดังนี้
1.ต้องให้ทุกฝ่ายเข้าใจถึงสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันว่า บรรดาวัดหรือพระอารามต่างๆ ทั่วราชอาณาจักรมีจำนวนกว่า 40,000 วัดนั้น ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส ขาดความรอบรู้ด้านบัญชีการเงินที่จะสามารถจัดทำให้เข้าเกณฑ์ตามข้อกำหนดของทางราชการได้ หรือแม้แต่จะจัดทำบัญชีการเงินของวัดตัวเองในแต่ละวัดก็ไม่สามารถจะจัดทำให้เกิดความถูกต้องเป็นที่พอใจแก่ทุกฝ่ายได้
2.จากเหตุผลตามข้อ 1.มส.จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตราข้อบังคับเพื่อให้เกิดระเบียบปฏิบัติที่พศ.เป็นแกนกลางสำคัญโดยจัดตั้งให้เป็นหน่วยงานกลางขึ้นตรงต่อสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม เพื่อระดมผู้ที่มีความรู้และทักษะด้านบัญชีการเงินในการให้คำแนะนำเจ้าอาวาสจัดทำบัญชีศาสนสมบัติของวัดในแต่ละวัดให้เกิดความโปร่งใสถูกต้องตามหลักการบัญชีและการเงิน ที่สามารถจะแสดงเป็นหลักฐานในกรณีที่หากมีการตรวจสอบได้
3.ดังเป็นที่ทราบกันแล้วว่า ในปัจจุบันพนักงานสอบสวนได้เข้ามาตรวจสอบบัญชีการเงินในวัดและในบางพระอารามตามที่เป็นข่าวอื้อฉาวจนไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ และยังได้สร้างความไม่สบายใจและวิตกกังวลแผ่ขยายเป็นวงกว้างให้กับบรรดาพระภิกษุที่ดำรงสถานะเป็นพระสังฆาธิการ จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถจะหาข้อยุติว่าจะดำเนินการให้รอบคอบไม่ให้เกิดผลกระทบไปได้ในแนวทางใด ถึงแม้ว่ามติมส.ที่กล่าวถึงนี้จะได้ประกาศออกมาแล้ว แต่ก็มิได้เป็นการแก้ไขปัญหาให้ตรงประเด็น อาจเป็นไปได้ว่าพศ.ในปัจจุบันยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านบัญชีการเงินอย่างถ่องแท้ และยังอยู่ในภาวะตื่นตระหนกต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และควรถือกรณีดังกล่าวนี้เป็นกรณีศึกษาที่จะแก้ไขปัญหาอย่างผู้มีปัญญาในระยะยาวต่อไป
4.จากความจริงที่ปรากฏในข้อ 3. เกล้ากระหม่อมจึงขอประทานกราบทูลฝ่าพระบาทได้โปรดมีพระบัญชาให้เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช นำเสนอที่ประชุมมส. เพื่อขอให้มีมติแจ้งไปยังนายกรัฐมนตรีที่กำกับราชการพศ.ตามกฎหมาย ขออัตราตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีการเงินเข้าเป็นข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกจังหวัดทั่วราชอาณาจักร เพื่อให้คำแนะนำแก่ท่านเจ้าอาวาสที่มีที่ตั้งวัดอยู่ในแต่ละจังหวัดและรับผิดชอบร่วมกันกับเจ้าอาวาสในบัญชีการเงินของแต่ละวัด อันจะเป็นการทำให้หากมีกรณีที่พนักงานสอบสวนจำเป็นจะต้องเข้าไปตรวจสอบบัญชีวัด ก็ควรจะต้องตรวจสอบหรือสอบถามรายละเอียดกับข้าราชการผู้นี้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบบัญชีการเงินในฐานะข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาด้านการบัญชีประจำจังหวัดแทนการไปสอบสวนกับเจ้าอาวาส ซึ่งอาจทำให้สังคมมองว่าพนักงานสอบสวนเข้าไปคุกคามบรรดาวัดวาอารามต่างๆ ได้
5. เกล้ากระหม่อมในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมเสมอที่จะให้ความร่วมมือกับกรรมการมส.เพื่อจะทำให้ทุกฝ่ายได้บรรลุเจตนารมณ์ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นมาแล้วและหาแนวทางป้องกันมิให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต