รพ.สต.บ้านชำเม็ง ถูกยิง! จากสถานที่รักษา สู่ซากปรักหักพัง
เช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2568
เสียงตามสายดังขึ้นแต่เช้าตรู่…
แจ้งเตือนให้ชาวบ้านเตรียมพร้อมรับสถานการณ์
ที่อาจเปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล
ณ “โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านซำเม็ง”
หน่วยบริการสุขภาพเล็กๆ ที่ดูแลชาวบ้าน 3 หมู่บ้าน รวมกว่า 2,144 ชีวิต
มีบุคลากรเพียง 7 คน — ข้าราชการ 2 คน ลูกจ้าง 5 คน
แต่ในวันที่สงครามเคาะประตูหมู่บ้าน พวกเขากลายเป็นด่านหน้า
จากผู้รักษา กลายเป็นผู้หลบหนี
เวลา 08.30 น. วันเดียวกันนั้น
เสียงปืนจากแนวชายแดนเริ่มดังขึ้น
เจ้าหน้าที่รีบอพยพผู้ป่วยไปยังหลุมหลบภัยด้านหลัง
ก่อนที่ผู้อำนวยการจะสั่งเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเตียงออกนอกพื้นที่
เหลือเพียงเจ้าหน้าที่ชาย 2 คน ประจำโรงพยาบาล
เพื่อรองรับกรณีฉุกเฉิน…
แต่เหตุการณ์ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น
คืนวันที่ 25 กรกฎาคม เวลา 22.00 น.
สถานการณ์บานปลายจนไม่สามารถควบคุมได้
เจ้าหน้าที่ที่เหลืออยู่…ต้องอพยพ
โรงพยาบาลถูกทิ้งไว้กับความเงียบ และความไม่แน่นอน
วันที่กระสุนตกลงมา…
26 กรกฎาคม เวลา 11.30 น.
กระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม. ตกลงกลางอาคาร
ห้องครัวที่เคยใช้ปรุงข้าวให้คนไข้
ห้องอาหารที่เคยมีเสียงหัวเราะเบาๆ
กลายเป็นเศษซากไร้รูปทรง
“โชคดี…ที่วันนั้นไม่มีใครอยู่”
คำพูดง่ายๆ แต่แบกรับน้ำหนักของ ความเป็นไปได้ที่จะมีคนตายทั้งโรงพยาบาล
ไม่ใช่แค่ตึกที่พัง…ใจของคนก็พังด้วย
ทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่ไม่ได้ขอความช่วยเหลือด้านเงินทองเป็นอันดับแรก
พวกเขาไม่ได้อยากได้อะไรหรูหรา
สิ่งที่พวกเขาอยากได้…คือคำถามว่า
“พรุ่งนี้เราจะต้องอยู่ที่ไหน?”
“ชีวิตเจ้าหน้าที่ต่อจากนี้จะปลอดภัยหรือเปล่า?”
“แล้วคนไข้กว่า 2,000 คน ใครจะดูแล?”
อกสั่น ขวัญแขวน และปมในชีวิต
สงครามครั้งนี้ไม่ได้ทำลายแค่สิ่งปลูกสร้าง
แต่มันทิ้งรอยแผลลึกในใจ
เจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งเล่าเสียงสั่น
ว่าแค่เสียงประทัด หรือเสียงเครื่องยนต์ดังๆ
ก็ทำให้เธอสะดุ้งกลางวันแสกๆ
“มันกลายเป็นปมในใจที่ฝังลึก ไม่รู้จะรักษาด้วยยาอะไร”
ความเสียหายที่มองเห็น กับสิ่งที่มองไม่เห็น
• ความเสียหายทางโครงสร้าง: 1,500,000 บาท
• ครุภัณฑ์ทางการแพทย์: 442,759 บาท
• ยาและเวชภัณฑ์: 15,000 บาท
แต่สิ่งที่ไม่มีตัวเลขประเมินได้
คือ “ใจของคนทำงาน” และ “ความเชื่อมั่นของชุมชน”
ที่ถูกกระสุนปืนใหญ่บดขยี้ไม่ต่างจากปูนผนัง
สิ่งเล็กๆ ที่อยากขอ…
ไม่ใช่แค่การสร้างอาคารใหม่
ไม่ใช่แค่เงินเยียวยา
สิ่งที่เจ้าหน้าที่อยากได้มากที่สุดในตอนนี้
คือ “ขวัญกำลังใจ” จากสังคม
รถซาเล่งสักคัน…
เอาไว้ลงพื้นที่ดูแลผู้ป่วยนอกศูนย์
เอาไว้เป็นตัวแทนของคำว่า “เรายังไม่ทิ้งกัน”
ท้ายที่สุด
เมื่อกระสุนสงบ เสียงปืนเงียบ
ยังมีเสียงอีกมากมายที่ยังไม่ได้พูด
เสียงของความเจ็บลึกที่ไม่ได้ออกข่าว
เสียงของเจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ
ที่เคยรักษาชีวิต…แต่ไม่มีใครรักษาใจเขา
เพราะชีวิตจริง ไม่เหมือนสนามรบ
ที่เมื่อหมดเสียงปืน…ใจจะกลับมาเหมือนเดิม
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านซำเม็ง
จึงไม่ได้ต้องการแค่ “การฟื้นฟู”
แต่มันต้องการ “ความเข้าใจ”…
และ “มนุษยธรรม” ที่ไม่ควรปล่อยให้พังไปพร้อมกับตึก