‘ทรัมป์’ เรียกร้องซีอีโอ ‘อินเทล’ ลาออก
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 8 สิงหาคม 2568 เวลา 23.16 น. • เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมทวอชิงตัน 8 ส.ค. – ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ กล่าววานนี้เรียกร้องให้ ลิป-บู ตัน (Lip-Bu Tan) ซีอีโอคนใหม่ของบริษัทอินเทล (Intel) ลาออกจากตำแหน่งโดยทันที โดยอ้างเหตุผลว่าเขามี “ผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างรุนแรง” เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทสัญชาติจีน
นายทรัมป์โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย “ทรูธ โซเชียล” (Truth Social) ของเขาว่า ซีอีโอของอินเทลมีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างรุนแรงและต้องลาออกทันทีและไม่มีทางแก้อื่นสำหรับปัญหานี้ ในวันเดียวกันนี้ หุ้นของบริษัทอินเทลปิดตลาดลดลงร้อยละ 3
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์ทำรายงานพิเศษที่เปิดเผยว่า นายตันได้ลงทุนในบริษัทผลิตชิป และบริษัทผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงของจีนหลายร้อยแห่งเป็นเงินอย่างน้อย 200 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัทบางแห่งที่เขาลงทุ่นไปนั้นมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับกองทัพจีน
ความเห็นของทรัมป์เรื่องซีอีโอของอินเทลมีขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่รอยเตอร์รายงานเป็นสำนักข่าวแรกว่า นายทอม คอตตอน วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน ได้ส่งจดหมายถึงประธานกรรมการบริหารของอินเทล เพื่อสอบถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของนายตันกับบริษัทจีน รวมถึงคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเก่าของเขาอย่าง “เคเดนซ์ ดีไซน์” (Cadence Design)
การเข้ามาแทรกแซงของนายทรัมป์ในครั้งนี้ถือเป็นกรณีที่หาได้ยากที่ประธานาธิบดีสหรัฐจะออกมาเรียกร้องให้ซีอีโอของบริษัทเอกชนลาออกต่อสาธารณะ และได้ทำให้เกิดการถกเถียงในหมู่นักลงทุน
นายฟิล บลองกาโต ซีอีโอของ “ลาเดนเบิร์ก ทาลมานน์ แอสเซท แมเนจเมนท์” Ladenburg Thalmann Asset Management กล่าวว่า การกระทำของนายทรัมป์เป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดีเอาเสียเลย ไม่มีใครต้องการให้ประธานาธิบดีสหรัฐมาบงการว่าใครควรบริหารบริษัทต่างๆ
นายตันซึ่งเป็นนักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายจีนที่เกิดในมาเลเซีย เคยเป็นซีอีโอของบริษัท “เคเดนซ์ ดีไซน์” (Cadence Design) ตั้งแต่ปี 2008 จนถึงเดือนธันวาคม 2021 ในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทซอฟต์แวร์ออกแบบชิปแห่งนี้ได้ขายผลิตภัณฑ์ให้กับมหาวิทยาลัยทหารของจีนที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการจำลองการระเบิดของนิวเคลียร์ เมื่อเดือนที่แล้ว เคแดนซ์ตกลงที่จะยอมรับความผิดและจ่ายเงินกว่า 140 ล้านดอลลาร์ เพื่อยุติข้อกล่าวหาของสหรัฐเกี่ยวกับการขายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว.-813.-สำนักข่าวไทย