“BAM-BKA-UOB” จับมือปั้น “บ้านมือสอง”ดั๊มดอกเบี้ย3% เจาะตลาดกลาง-บน
BAM-BKA-UOB จับมือเป็นพันธมิตรนำบ้านมือสองNPA ราคา5-10ล้าน ตกแต่งใหม่ พร้อมให้สินเชื่อ3% คงที่ 3 ปี จับตลาดเรียลดีมานด์กลุ่มกลาง-บนกรุงเทพ-ชานเมือง วางเป้าปีแรก 5-10หลัง มูลค่า100ล้านบาท ระยะกลาง-ยาวแตะ 50-100 หลัง เฟส 2 เตรียมเจาะ Big Corporate กระตุ้นพนักงานซื้อบ้านใกล้ที่ทำงาน
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยว่า ในฐานะผู้บริหารสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในตลาด บริษัทฯ ได้ขยายความร่วมมือครั้งสำคัญกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาและบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ให้เกิดมูลค่าเพิ่ม และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ซื้อจริง
ความร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นจากเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาและยกระดับศักยภาพของทรัพย์สินที่BAM ถือครอง เพื่อพลิกทรัพย์ร้างให้กลายเป็นทรัพย์สร้างกำไรที่สามารถกลับเข้าสู่ตลาดในรูปแบบที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดระดับกลางถึงบน
โดยมี บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาและรีโนเวทอสังหาริมทรัพย์เข้ามาบริหารจัดการทรัพย์สินให้มีศักยภาพสูงขึ้น โดยจะเน้นกลุ่มบ้านเดี่ยวที่มีราคาตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงในตลาดเมืองขยายและเขตชานเมือง โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถดำเนินการร่วมกันได้ประมาณกว่า 100 ล้านบาท
นอกจากนี้ BAMยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยกลั่นกรองและปรับโครงสร้างหนี้ (Buffer) ของลูกหนี้ เพื่อลดภาระหนี้ของสถาบันการเงิน ทำให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น ซึ่ง ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย (UOB) จะเข้ามาเป็นพันธมิตรทางการเงินเพื่อสนับสนุนโครงการนี้
“ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) คือการนำ NPA เช่น คอนโดฯ บ้าน โรงงาน หรือที่ดินเปล่า มาพัฒนาและขายต่อ ซึ่งปัจจุบันเรามีทรัพย์สินเหล่านี้อยู่กว่า 24,000 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 72,000 ล้านบาท หากใช้ศักยภาพของ BAM เพียงอย่างเดียวในการระบายทรัพย์สินเหล่านี้ ก็อาจต้องใช้เวลานานถึง 25 ปี ดังนั้น การมีพันธมิตรอย่าง BKA เข้ามาช่วยพัฒนาและนำทรัพย์ออกสู่ตลาด จะช่วยให้ผู้ซื้อมือสุดท้ายสามารถเข้าถึงทรัพย์สินคุณภาพดีในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด”
เบื้องต้นคาดว่าในปีนี้จะสามารถรีโนเวททรัพย์ได้ประมาณ 5-10 หลัง และในระยะยาวมีเป้าหมายเพิ่มเป็น 50-100 หลัง โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือคนรุ่นใหม่ที่กำลังมองหาบ้านใกล้ครอบครัวเดิม แต่บ้านมือหนึ่งมีราคาเกินเอื้อม นอกจากนี้ ในเฟสถัดไป BAMยังมองโอกาสในการขายทรัพย์มือสองให้กับกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ (Big Corporate) เพื่อให้บริษัทสามารถจัดสวัสดิการบ้านพักอาศัยใกล้สถานที่ทำงานให้กับพนักงาน โดยเฉพาะในทำเลกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นทำเลที่มีการระบายทรัพย์ได้ง่ายที่สุด
ด้าน นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญในการนำบ้านเก่ามาฟื้นฟูให้กลับมามีชีวิตใหม่ และการร่วมมือกับ BAM ซึ่งเป็นผู้นำด้าน NPA ที่มีคุณภาพ และได้รับการสนับสนุนด้านสินเชื่อจาก UOB จะเป็นโมเดลธุรกิจใหม่สำหรับวงการบ้านมือสองในประเทศไทย
โดยโมเดลนี้จะเป็นการพัฒนาแบบครบวงจร ตั้งแต่การรับทรัพย์รอการขายจากBAM, การรีโนเวทโดย BKA และการให้สินเชื่อโดย UOB ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาให้กับคนไทยที่ต้องการมีบ้านคุณภาพดีในทำเลเยี่ยมและราคาจับต้องได้ และจะทำให้ทั้งสามองค์กรเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน
“เรามีความพร้อมรองรับได้ 300-500 หลังต่อปีสำหรับงานรีโนเวทและขาย ตอนนี้เราเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และมีเป้าหมายที่จะต้องสร้างการเติบโตเพราะฉะนั้นเรายังสามารถที่จะรองรับนโยบายของBAMได้ ”
นายยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ต้นทุนการก่อสร้างบ้านใหม่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30% ทำให้ตลาดบ้านมือสองมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น การนำบ้านที่มีโครงสร้างดีในทำเลชุมชนมาปรับปรุงโดยมืออาชีพ จึงเป็นการสร้างทั้งสินค้าและความต้องการใหม่ในตลาด
“เรามั่นใจว่าความร่วมมือกับBAM และ BKA จะช่วยเพิ่มยอดขายผ่านตลาดบ้านมือสองได้เป็นอย่างดี และช่วยลด Pain Point ของลูกค้า โดยเฉพาะในเรื่องของการประเมินราคาที่รวดเร็วขึ้น ทำให้ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อได้ง่ายขึ้นในอัตราดอกเบี้ยที่ใกล้เคียงกับบ้านมือหนึ่ง
ที่ผ่านมาวอลลุ่มสินเชื่อบ้านจากBAM และ BKAเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 500 ล้านบาท เพราะฉะนั้นในความร่วมมือ 3 ปาร์ตี้นี้เราตั้งเป้าอย่างน้อยยอดขายประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาบ้านเดี่ยวที่ BKA โอนราคาจะวิ่งอยู่ที่ประมาณ 5-10 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของสินเชื่อปัจจุบันดอกเบี้ยบ้านมือสองจะแพงกว่าบ้านมือหนึ่ง เพราะฉะนั้นในความร่วมมือนี้เราพยายามให้ดอกเบี้ยต่ำ 3% คงที่ 3 ปีแรก พร้อมฟรีค่าประเมินหลักประกัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ซื้อได้สินเชื่อเต็มวงเงินตามราคาซื้อขาย และไม่ต้องหาเงินมา Top Up เหมือนการซื้อขายบ้านมือสองทั่วไป