“วปอ.บอ. รุ่น 2”ร่วมเสนอนโยบายพัฒนาความมั่นคงชาติ 10 ปี ด้วยโมเดล “2P by 2P”
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ารัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อการพัฒนาความมั่นคงของชาติในระยะ 10 ปี ภายใต้แนวคิด 2P by 2P: Prosperity Peace–ProfessionalismPartnershipที่มาจากวิธีคิดของผู้บริหารแห่งอนาคตของนักศึกษาในหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 2 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตของประเทศ โดยจะนำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในครั้งนี้ไปบูรณาการให้สอดคล้องกับกลไกการทำงานของรัฐบาล เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนในประเทศทั้งนี้ แม้ว่าหลายข้อเสนอแนะจะสอดคล้องนโยบายปัจจุบันของรัฐบาลที่กำลังดำเนินการอยู่ ก็พร้อมกำหนดแนวทางปฏิบัติให้ชัดเจนมากขึ้น และยังมีอีกหลายแนวทางที่ภาครัฐพร้อมพิจารณาและส่งเสริมเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับประเทศไทย โดยต้องพิจารณาว่าสามารถทำได้จริงและทำได้ทันที ภาครัฐพร้อมสนับสนุนเต็มที่ เพื่อสร้างแนวทางความร่วมมือระหว่างกัน และเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมขับเคลื่อนประเทศ
พลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ทศวรรษแห่งความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจดิจิทัล สังคมสูงวัย ฯลฯ จากประเด็นที่สำคัญเหล่านี้ หลักสูตรวปอ.บอ.จึงให้ความสำคัญกับการมุ่งผลิตและพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ที่กล้าลงมือสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ด้วยองค์ความรู้ความเข้าใจในมิติเชิงลึกของสังคมไทย พร้อมสามารถเชื่อมโยงบริบทของโลกและประเทศได้โดย วปอ.บอ.
ในปีการศึกษา 2568ถือเป็นปีที่ 2 ของหลักสูตรที่มีกลุ่มผู้บริหารคนรุ่นใหม่จากทุกภาคส่วนทั้งภาคการทหาร ภาคข้าราชการพลเรือน ภาคการเมือง ภาคเอกชนและบุคคลทั่วไปเข้าร่วมศึกษาในหลักสูตรซึ่งทุกคนล้วนมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ
โดยผลลัพธ์ที่สำคัญของการเข้ารับการบ่มเพาะและฝึกปฏิบัตินักศึกษาทั้งหมด คือการนำประสบการณ์และองค์ความรู้ของแต่ละคนมาร่วมจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อการพัฒนาความมั่นคงของชาติ10 ปี สู่เป้าหมาย “กินดี อยู่ดี มีสุข” ภายใต้แนวคิด 2P by 2P คือ Prosperity Peace – Professionalism Partnershipซึ่งสะท้อนคุณภาพของนักศึกษา วปอ.บอ. ในด้านความเข้าใจต่อบริบทความท้าทายของประเทศและวิธีการขับเคลื่อนประเทศในทศวรรษใหม่ให้ดียิ่งขึ้นดังนั้น ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของนักศึกษา วปอ.บอ. ครั้งนี้ จึงถือเป็น Roadmap แห่งความร่วมมือที่หลอมรวมองค์ความรู้จากหลากหลายภาคส่วนต่อยอดสู่ข้อเสนอเชิงนโยบายที่สามารถนำไปใช้ได้จริงทั้งในระดับชาติและระดับองค์กร ทำให้ประเทศไทยสามารถปลดล็อกข้อจำกัดเพื่อให้ก้าวทันโลกมากขึ้นและขับเคลื่อนประเทศไปให้ไกลกว่าเดิม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนทุกคน
พลตรี ชัชวาลย์ พยุงวงศ์ รองปลัดบัญชีทหาร ผู้อำนวยการหลักสูตร วปอ.บอ.รุ่นที่ 2กล่าวว่าหลักสูตร วปอ.บอ. ไม่เพียงแต่สร้างองค์ความรู้ด้านความมั่นคงด้วยมิติที่รอบด้านแต่เปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ร่วมกันจากหลากหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชนและภาคประชาสังคมเพื่อฝึกกระบวนการคิดวิเคราะห์เชิงระบบสามารถเชื่อมโยงปัญหาเชิงโครงสร้างกับโอกาสในการสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการผสานความคิดของนักศึกษาในทุกภาคส่วนด้วยข้อมูลประสบการณ์และการวิเคราะห์อนาคตของประเทศอย่างเป็นระบบเพื่อวางรากฐานประเทศให้เข้มแข็งก้าวทันการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติของศตวรรษที่ 21 ตลอดจนเอาชนะความท้าทายจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ
พันเอกคมกฤช คชรักษา ประธานนักศึกษาหลักสูตร วปอ.บอ.รุ่นที่ 2กล่าวว่า"แนวคิด Prosperity Peace – Professionalism Partnership" คือกรอบการทำงานหลักของหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 2 ที่มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืนในอีก 10 ปีข้างหน้าแนวคิดนี้ประกอบด้วย กลไก 2P by 2Pที่มีแนวทางปฏิบัติชัดเจนทั้งในระยะสั้น กลาง และระยะยาว โดย 2P แรก เป็นเป้าหมายระยะยาว ได้แก่ Prosperity (ความเจริญรุ่งเรืองของชาติ) และ Peace (ความสงบสุขหรือสันติภาพ) ส่วน 2P ตัวหลัง จะเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้นได้
Prosperity สร้างความรุ่งเรืองที่ยั่งยืนบนโครงสร้างเศรษฐกิจที่เท่าทันโลก เพื่อชีวิตที่ดีอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมโดยต้องเร่งขจัดปัญหาคอร์รัปชันและแก้ไขกฎระเบียบที่เอื้อต่อคนบางกลุ่ม เพื่อพลิกฟื้นศักยภาพของระบบเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเติบโตอย่างเข้มแข็งและแข่งขันได้ในระดับสากลรับมือความท้ายในอนาคต ผ่านการปฏิรูปเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างจากฐานรากยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การเติบโตทางเศรษฐกิจในศตวรรษใหม่ต้องไม่พึ่งพาส่งออกหรือท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเพิ่มขีดความสามารถภาคเกษตรกรรม ภาคบริการพร้อมสร้างอุตสาหกรรมใหม่ เช่น อุตสาหกรรมอาหารสุขภาพ เทคโนโลยีทางการแพทย์ พลังงานสะอาด และเทคโนโลยี AI ควบคู่กับการพัฒนาเมืองรอง การสร้างภูมิภาคเศรษฐกิจใหม่ และกระจายโอกาสอย่างเท่าเทียม เพื่อสร้างความมั่งคั่งที่ดีอย่างทั่วถึงในทุกพื้นที่ของประเทศไทยPeace สร้างความสงบสุขที่จับต้องได้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกมิติ นโยบายการสร้างสันติภาพที่ไม่ใช่เพียงไร้ความขัดแย้งแต่คือการมีสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่ประชาชนเข้าถึงได้จริงเพื่อชีวิตที่ปลอดภัย ทั้งทางกาย ใจและโอกาสโดยเป้าหมายของPeace จะเชื่อมโยงกับความสามารถในการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริงผ่าน 4 ฉากทัศน์ ได้แก่ 1. เพิ่มความสามารถของคนไทยในการดำรงชีวิตอย่างรอบด้านทั้งรายได้ สุขภาพ การศึกษาและความมั่นคงในชีวิตประจำวัน 2.บูรณาการข้อมูลพื้นฐานของประชาชนทุกกลุ่มเพื่อวางนโยบายที่แม่นยำยกระดับแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิต ครอบคลุมคนทุกช่วงวัยในทุกพื้นที่ 3.ส่งเสริมเศรษฐกิจแบบแข่งขันที่เติบโตไปพร้อมกับความเท่าเทียม และ 4. พัฒนาระบบดูแลคุณภาพสิ่งแวดล้อมทั้งในเชิงป้องกันและเชิงรุก เพื่อให้พื้นที่อยู่อาศัยของคนไทยกลายเป็น “เมืองน่าอยู่” และปลอดภัยต่อสุขภาวะ ดังนั้น นโยบายPeace จึงเป็นการปักหมุดระบบของรัฐให้เป็นผู้สนับสนุนการบูรณาการความมั่นคงในสังคมไทย ให้อยู่ดี กินดี คิดได้ พูดได้และใช้ชีวิตอย่างภาคภูมิใจของพลเมืองโดยมีตัวชี้วัดคือ ความสามารถในการดำรงชีวิต (+Livability) ของคนไทยต้องติด Top 10 ในเอเชียและดัชนี World Happiness index จากอันดับ 49 ของโลกขึ้นมาติด Top 30 และเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน +
ขณะที่แนวทางการขับเคลื่อนระยะสั้นถึงกลาง จะดำเนินผ่านนโยบาย2P คือ Professionalism และ Partnershipโดย Professionalismหรือ ความเป็นมืออาชีพเป็นเครื่องมือสำคัญต่อการพัฒนาความมั่นคงแห่งชาติโดยเน้นยกระดับความเป็นมืออาชีพในทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ การเมือง การทหาร ประชาสังคมและภาคเอกชน และPartnershipหรือ ความร่วมมือ เพื่อขับเคลื่อนประเทศผ่านการสร้างเครือข่ายหรือความร่วมมือทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ ผ่านหลักการทำงานคือ
Professionalism พัฒนาความเป็นมืออาชีพของภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อความไว้วางใจที่ยั่งยืนโดยความเป็นมืออาชีพต้องไม่ขึ้นอยู่กับ “ตัวบุคคล” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องครอบคลุมถึงระบบหรือภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างความสามารถการแข่งขันในระยะยาว นโยบายด้านนี้จึงเน้นยกระดับ “Professionalism” ของหน่วยงานรัฐ ภาคการเมือง ภาคความมั่นคง ภาคประชาชนและเอกชน ให้สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและมีธรรมาภิบาล โดยมีแนวทางสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมให้คนไทยเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียมและเข้าใจเพื่อสร้างอธิปไตยด้านดิจิทัล ที่ทำให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจและใช้เทคโนโลยี AI เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในด้านการดูแลสุขภาพ การศึกษา อาชีพ และความเป็นอยู่ให้ง่ายขึ้น
- Partnershipเปลี่ยนความร่วมมือให้เป็นพลังเชิงระบบด้วยแนวคิด Partnership Thailandบูรณาการความร่วมมือที่ออกแบบสร้างระบบความร่วมมือให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมสร้างหล่อหลอมพลังความรู้ ศักยภาพและหัวใจของการเปลี่ยนแปลงเข้าด้วยกันผ่าน 3 แนวทาง ได้แก่ ร่วมคิด หรือ Public Co-Designเปิดให้ประชาชนทุกคนร่วมคิดออกแบบนโยบายตั้งแต่ต้น (Public Designing) โดยใช้ AI ช่วยระดมความคิดเห็นทุกฝ่ายร่วมทำหรือ Partnership Index ให้หน่วยงานทั้งภาครัฐสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆช่วยขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า และ ร่วมสร้าง Partnership Sandboxที่เปิดพื้นที่ให้ประชาชน เยาวชน เอกชนและหน่วยงานของรัฐได้ร่วมออกแบบการขับเคลื่อนนวัตกรรมหรือไอเดียใหม่ๆ ที่มีภาครัฐเป็นพี่เลี้ยงสนับสนุน เพื่อสร้างพลังการเปลี่ยนแปลงและสร้างโอกาสการเติบโตร่วมกัน
- “วปอ.บอ. พร้อมเป็นแกนกลางการเชื่อมโยงทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน วิชาการและภาคประชาสังคม เพื่อผลักดันนโยบายต่อการพัฒนาความมั่นคงประเทศ10 ปี ที่มาจากผู้บริหารแห่งอนาคต เพื่อต้องการปลดล็อกศักยภาพของข้อจำกัดของประเทศ ผ่านกระบวนการขับเคลื่อนด้วยมืออาชีพตัวและความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อนำพาประเทศไทยในทศวรรษข้างหน้าไปสู่ประเทศที่กินดี อยู่ดี มีสุข เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน” พันเอกคมกฤชกล่าว
ประธานนักศึกษาหลักสูตร วปอ.บอ.รุ่นที่ 2กล่าวอีกว่าโครงการFuture Ready by Future Leader ถือเป็นต้นแบบ Partnership ที่จับต้องได้ และเป็นจุดเริ่มต้นของระบบความร่วมมือข้ามภาคส่วนเชื่อมโยงภาครัฐ ภาคเอกชน และ วปอ.บอ. เพื่อสร้างสะพานการเชื่อมโยงโอกาสให้เยาวชนจากทั่วประเทศได้เข้าฝึกงานและทำงานกับบริษัทชั้นนำของประเทศ และยังมีโอกาสได้ร่วมคิด สร้าง และแก้ปัญหาจริง ถือเป็นหนึ่งภาพสะท้อนของประเทศที่ให้คนรุ่นใหม่มีบทบาทกำหนดและพัฒนาอนาคตตั้งแต่วันนี้ ซึ่งความสำเร็จของโครงการ “Future Ready by Future Leader โอกาสจากพี่ เพื่อโอกาสแห่งอนาคต”ที่มาจากพลังความร่วมมือของทุกเครือข่าย สามารถลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและอาชีพให้แก่เยาวชนทั่วประเทศรวมถึงเปิดพื้นที่ให้เยาวชนในพื้นที่เปราะบาง4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีโอกาสเข้าร่วมโครงการกับบริษัทชั้นนำของประเทศที่เปิดรับเยาวชนฝึกงานมากกว่า 50 บริษัทมากกว่า 200ตำแหน่งงาน เพื่อเสริมทักษะแรงงานที่ตลาดต้องการ พร้อมรับมือโครงสร้างสังคมและตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไปโดยหลังเปิดตัวโครงการเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา พบว่า ได้รับความสนใจจากเยาวชนจากทั่วประเทศสมัครเข้าร่วมโครงการผ่านทางwww.JobThai.com/Futureleaderมากกว่า700ราย โดยมีเยาวชนกว่า 150ราย ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกได้รับโอกาสฝึกงานตามความสนใจกับมืออาชีพตัวจริง ซึ่งจะเริ่มภายในเดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2568 เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงานและมีโอกาสได้รับการจ้างงานจริงซึ่งจะช่วยลดปัญหาทักษะไม่ตรงกับงานหรือMismatch of skill และช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ระบบเศรษฐกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “ภูมิธรรม” บินเจรจา “ฮุน มาเนต” ที่มาเลย์ ย้ำหยุดยิง–คงอธิปไตยไทย
- ปราบยาเสพติดฉบับภูมิธรรม “ไล่ออก–ติดคุก–ไม่ละเว้น” ข้าราชการมีเอี่ยว?
- “ภูมิธรรม” ปฏิเสธดีลแลกภาษีสหรัฐฯ กับฐานทัพทับละมุ
- รัฐบาลขันนอตข้าราชการเกียร์ว่าง พร้อมตั้งค่าวัดผลงานสามเดือนต้องเห็นผล
- ภูมิธรรมปรับทัพมหาดไทย เคลื่อนเครื่องจักรราชการรับศึกยาเสพติด