ภาษีทรัมป์เริ่มมีผลแล้วแต่นำเข้ายังไม่ 0% นักวิชาการระบุไทยเจ็บกว่าเวียดนาม
นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า การที่สหรัฐอเมริกาจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา 19% ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.68 เป็นต้นไป เป็นมาตรการตอบโต้ด้านภาษีที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียดกับฝ่ายสหรัฐฯ ในส่วนของไทย แม้จะมีแถลงการณ์ร่วมเห็นชอบเบื้องต้นกับสหรัฐฯ แล้ว แต่ยังไม่ได้มีการลงนามในความตกลงว่าด้วยอัตราภาษีต่างตอบแทน (ART) อย่างเป็นทางการ จึงยังไม่สามารถลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เหลือ 0% ได้ตามที่มีการคาดการณ์ ต้องผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภาเสียก่อน
สินค้าไทยยังไม่ถูกตีความว่าเป็นสินค้าสวมสิทธิ (transshipment) และยังไม่ถูกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 40% เช่นเดียวกับเวียดนาม เพราะสหรัฐฯ ยังไม่ได้ออกกฎระเบียบเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่านแดนและถิ่นกำเนิดสินค้า สำหรับขั้นตอนถัดไป รัฐบาลไทยเตรียมเจรจายกที่ 2 กับสหรัฐฯ เพื่อสรุปสาระในความตกลง ART โดยเฉพาะประเด็นเรื่องกฎถิ่นกำเนิดสินค้า (RVC) และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เช่น มาตรฐานผลิตภัณฑ์ กฎระเบียบ และการสะสมวัตถุดิบในภูมิภาค คาดว่า จะเริ่มหารือเชิงเทคนิคได้ภายในช่วงปลายเดือน ส.ค. - ก.ย. 2568 นี้
นายฉันทวิชญ์ ระบุว่า กลุ่มสินค้าเกษตรและแปรรูปไทยได้เปรียบ เนื่องจากใช้วัตถุดิบภายในประเทศสูงกว่า 50% จึงผ่านเกณฑ์ RVC ได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมบางกลุ่มที่ใช้วัตถุดิบต่างประเทศมาก อาจได้รับผลกระทบ ซึ่งรัฐบาลจะเร่งหาทางเยียวยา และเตรียมเปิด “ศูนย์ One Stop Service” ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ เพื่อให้คำปรึกษาและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการปรับตัวต่อมาตรการใหม่ของสหรัฐฯ อย่างเป็นระบบ
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวว่า ที่ประชุม กกร. ได้ปรับคาดการณ์จีดีพีปี 2568 ใหม่ อยู่ที่ 1.8–2.2% จากเดิม 1.5–2% หลังแนวโน้มการส่งออกพลิกเป็นขยายตัว 2–3% จากที่เคยประเมินว่าจะติดลบ ขณะที่เงินเฟ้อยังคงอยู่ในกรอบ 0.5–1% ส่วนการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ที่ลดภาษีตอบโต้จาก 36% เหลือ 19% ยังต้องติดตามรายละเอียดต่อไป
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังยังมีความเสี่ยงจากการส่งออกที่เริ่มชะลอตัว, ค่าเงินบาทแข็ง, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในสหรัฐที่ลดลง, และนักท่องเที่ยวระยะใกล้ที่หดตัว รวมถึงผลกระทบจากข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา โดย กกร. ประเมินว่าไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ถึงต้นปีหน้า ภาคส่งออกจะผันผวนสูง
นอกจากนี้ กกร. ระบุว่าไทยยังขาดข้อมูลเชิงลึกด้านโครงสร้างการผลิต ที่จำเป็นต่อการวางกลยุทธ์การค้าในยุคใหม่ จึงเร่งสำรวจ Regional Value Content และ Local Content เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากมาตรการภาษีในต่างประเทศ และหลีกเลี่ยงข้อสงสัยเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้า
ขณะที่นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ระบุว่าแม้เวียดนามจะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษี 20% แต่ไทยอาจได้รับผลกระทบมากกว่า เนื่องจากสินค้าส่งออกหลักไปสหรัฐฯ ใกล้เคียงกัน ทั้งโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และชิป โดยเวียดนามมีราคาต่ำกว่าและถือส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ สูงถึง 72% ขณะที่ไทยมีเพียง 28%
คาดปีนี้ ไทยอาจสูญเสียมูลค่าการส่งออกถึง 13,860 ล้านดอลลาร์ มากกว่าเวียดนามที่คาดลดลง 13,210 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากเวียดนามจะเข้ามาแทนที่สินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ
ดังนั้น มีข้อเสนอแนะ คือ 1.เร่งวางยุทธศาสตร์ชาติเพื่อจัดการสินค้าสวมสิทธิ และสินค้าที่ใช้แหล่งกำเนิดสินค้าภายในไทยต่ำกว่า 40% นอกจากนี้ ร่วมมือกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) จัดทำระบบการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าสวมสิทธิ ที่เรียกว่า Digital Traceability 2.สร้างห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมไทยใหม่ ที่สามารถกระจายและเชื่อมโยงกับตลาดอื่น และยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ ไม่ให้ลดลง 3.ปรับโครงสร้างภาคการผลิตอย่างยิ่งจริงจัง โดยสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมตามเทรนด์โลก 4. สร้างระเบียบการลงทุนใหม่ ที่กำหนดให้ทุนต่างชาติเชื่อมโยงและใช้วัสดุจากเอสเอ็มอี และเกษตรกรไทย ให้เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ภาษีทรัมป์เริ่มมีผลแล้วแต่นำเข้ายังไม่ 0% นักวิชาการระบุไทยเจ็บกว่าเวียดนาม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ภาษีทรัมป์เริ่มมีผลแล้วแต่นำเข้ายังไม่ 0% นักวิชาการระบุไทยเจ็บกว่าเวียดนาม
- สหรัฐฯชี้ไทยปกป้องสินค้า-ธุรกิจ-จำกัดแข่งขัน จี้ไทยลดมาตรการกีดกันการค้า
- กระทุ้งทีมไทยแลนด์เร่งจบเจรจาสหรัฐ หวั่นไม่ทันฤดูรับคำสั่งซื้อปลายปี
- จ่อลงนามแถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐฯ ตะลุยเจรจาภาษีต่อก่อนทำความตกลงมีผลผูกพัน
- ชงวุฒิสภาเปิดอภิปรายด่วน ปมภาษีทรัมป์ 36% ชี้ผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบหนัก
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath