โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้1 ก.ย.“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”ที่ระดับ 32.32 บาทต่อดอลลาร์

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 31 ส.ค. เวลา 20.05 น. • เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้1 ก.ย.2568 ที่ระดับ 32.32 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.39 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง เข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์

(แกว่งตัวในกรอบ 32.28-32.43 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ซึ่งมาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้านสำคัญของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ ล่าสุด ไม่ได้เร่งตัวสูงขึ้นกว่าคาด ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดต่างยังคงกังวลต่อแนวโน้มการเข้าแทรกแซงการทำงานของเฟด โดยฝั่งการเมืองสหรัฐฯ ทำให้ ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญแรงกดดัน หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ท่ามกลางความกังวลการเข้าแทรกแซงเฟดจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯ

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากฝั่งสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงาน พร้อมติดตามสถานการณ์การเมืองไทยอย่างใกล้ชิด

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) และอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ในเดือนสิงหาคม ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 19.30 น. ของวันศุกร์ที่ 5 กันยายน ตามเวลาประเทศไทย โดยในช่วงก่อนหน้านั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อาทิ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (ISM Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนสิงหาคม

รวมถึง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับใหม่ (JOLTS Job Openings) ในเดือนกรกฎาคม และยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มการจ้างงานของสหรัฐฯ และอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟด ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ซึ่งผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 87% ที่จะลดดอกเบี้ย 25bps ในการประชุมดังกล่าว

ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนสิงหาคม รวมถึงยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ และยูโรโซน ในเดือนกรกฎาคม

ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ในเดือนสิงหาคม โดย RatingDog (เดิมคือรายงานข้อมูล Caixin PMIs) ซึ่งจะสะท้อนถึงภาวะภาคธุรกิจขนาดเล็ก-กลางของจีนได้เป็นอย่างดี

ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านรายงานอัตราการเติบโตของค่าจ้างในเดือนกรกฎาคม ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินโอกาสราว 69% ที่ BOJ จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย 25bps อีก 1 ครั้ง ในปีนี้

ในส่วนนโยบายการเงินนั้น ทางฝั่งธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.75% ทว่า ผู้เล่นในตลาดคงมองว่า BNM มีโอกาสเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 25bps ภายในช่วง 1 ปี ข้างหน้า เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสถานการณ์การเมืองไทย เพื่อประเมินแนวโน้มการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และความเป็นไปได้ของการยุบสภา ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ในช่วงปลายปี หรือ ไตรมาส 1 ของปีหน้า ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิต ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (Business Sentiment) และอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนสิงหาคม

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่า) ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดซึ่งจะขึ้นกับ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด นับจากวันนี้ จนเข้าใกล้การประชุม FOMC เดือนกันยายน (รับรู้วันที่ 18 กันยายน ตามเวลาประเทศไทย)

โดยเรามองว่า เงินบาทมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงได้ หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะในช่วงที่ ราคาทองคำ (XAUUSD) ได้ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านสำคัญ 3,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์

นอกจากนี้ ความวุ่นวายของการเมืองไทย อาจกระทบต่อฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติและสร้างความผันผวน รวมถึงแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้ อนึ่ง ในกรณีที่เงินบาทอ่อนค่าลงนั้น เราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาท (USDTHB) ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด

เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทมีการอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์(แนวต้านถัดไป 32.65-32.70) ในทางกลับกัน เงินบาทยังพอมีแนวรับแถวโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ และมีโซนแนวรับถัดไปในช่วง 32.10 บาทต่อดอลลาร์

อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์เสี่ยงผันผวนสูง ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด และยังคงเผชิญ Two-way risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้สองทิศทาง) ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.00-32.75 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.45 บาท/ดอลลาร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ค่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.32-32.34 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.02 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 32.39 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยแม้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ แต่ก็ยังคงรักษาทิศทางแข็งค่าสอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกที่ได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ หลังการรายงานข้อมูลดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล [US PCE +0.2% MoM, +2.6% YoY] ออกมาตามตัวเลขคาดการณ์ของตลาด ซึ่งหนุนโอกาสความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมเดือนก.ย. นี้

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.20-32.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยการเมืองในประเทศ ทิศทางฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก และตัวเลข PMI ภาคการผลิตเดือนส.ค. ของจีน ญี่ปุ่น ยุโรป และอังกฤษ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...