โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ตลาดหุ้น "อินโดนีเซีย" และ "ประเทศไทย" เสี่ยงกระทบปัจจัยการเมือง ต่างชาติชี้ห่วงถอนทุน กดดันค่าเงิน

TNN ช่อง16

เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว
นักวิเคราะห์ต่างประเทศ มองตลาดหุ้นอินโดฯและไทย เจอความเสี่ยงจากปัจจัยการเมือง ห่วงถอนทุน กดดันค่าเงิน

นักวิเคราะห์ต่างประเทศมองสถานการณ์การประท้วงในอินโดนีเซียและปัจจัยการเมืองไทย เพิ่มความเสี่ยงต่อตลาดการเงินของทั้งสองประเทศ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (29 สิงหาคม 2568) ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ร่วงลง 1.53% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในบรรดาตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่ธนาคารกลางอินโดนีเซียส่งสัญญาณแทรกแซงตลาดเงิน หลังค่าเงินรูเปียห์ร่วงลงไปราว 1% ในวันเดียวกัน

ตลาดหุ้นไทย อยู่ในกลุ่มที่ปรับตัวลงมากที่สุดเช่นกัน โดยดัชนี SET ปิดลบ 1.08% เมื่อวันศุกร์ ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลง

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง กรณีของ "อินโดนีเซีย" คือ เหตุประท้วงรุนแรง ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ของอินโดนีเซีย ตัดสินใจยกเลิกการเดินทางเยือนจีน หลังเกิดเหตุจลาจลรุนแรงในประเทศ ซึ่งมีชนวนเหตุมาจากปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นและความเหลื่อมล้ำ โดยกลุ่มผู้ประท้วงได้พุ่งเป้าไปที่บ้านพักของรัฐมนตรีคลังและสมาชิกรัฐสภาหลายคน เนื่องจากไม่พอใจเกี่ยวกับค่าเบี้ยเลี้ยงบ้านพักของสมาชิกสภานิติบัญญัติ ซึ่งสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำต่อเดือนในกรุงจาการ์ตาเกือบ 10 เท่า และความไม่พอใจยิ่งลุกลาม ทั้งจากประเด็นการขึ้นภาษี การเลิกจ้างงานจำนวนมาก และอัตราเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้มีรายได้น้อย

กรณีของ "ประเทศไทย" คือ การเปลี่ยนแปลงผู้นำ โดยบลูมเบิร์กชี้ว่าการเมืองไทยเผชิญกับความขัดแย้งทางการเมืองมานานหลายทศวรรษ ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจช้ากว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค ล่าสุดสถานการณ์เสี่ยงมากขึ้น หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ทำให้รัฐบาลสิ้นสุดลงและเกิดความไม่แน่นอนทางการเมือง

บลูมเบิร์ก รายงานว่า เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในทั้งสองประเทศเกิดขึ้นในจังหวะที่กองทุนระดับโลกบางแห่ง กำลังพิจารณาที่จะโยกเงินลงทุนมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากราคาหุ้นที่ถูกลง และความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นได้เพิ่มความเสี่ยงที่นักลงทุนต่างชาติจะถอนทุนออก และสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินในประเทศ

"จอห์น ฟู" ผู้ก่อตั้งบริษัท "Valverde Investment Partners Pte." ในสิงคโปร์กล่าวว่า ความเสี่ยงทางการเมืองในอินโดนีเซียจะเพิ่มสูงขึ้น และจะส่งผลให้ค่าความเสี่ยงของหุ้นสูงขึ้นตามไปด้วย พร้อมกันนี้ ทางบริษัทกำลังปรับลดน้ำหนักการลงทุนในอินโดนีเซีย เนื่องจากมูลค่าหลักทรัพย์ไม่ได้สะท้อนถึงปัญหาที่แท้จริงในระบบเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์จากสิงคโปร์มองสถานการณ์ของไทยในแง่ดีกว่า โดยชี้ว่าราคาหุ้นยังอยู่ในระดับต่ำ และตลาดยังคงมีความหวังว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยระบุว่า ตลาดพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีในประเทศไทย

จับตาความเคลื่อนไหวค่าเงิน รูเปียห์ - บาท

เงินรูเปียห์ของอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่อ่อนค่าที่สุดในเอเชียปีนี้ โดยลดลงไปกว่า 2% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่เงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นกว่า 5%

"คูน โก๊ะ" หัวหน้าฝ่ายวิจัยเอเชียจาก "Australia & New Zealand Banking Group" กล่าวว่า แม้ธนาคารกลางอินโดนีเซียจะเข้ามาแทรกแซงค่าเงินรูเปียห์ไม่ให้อ่อนลงไปมากกว่านี้ แต่ความเสี่ยงที่เงินทุนต่างชาติจะไหลออกยังคงมีอยู่ หากความไม่สงบในประเทศยังดำเนินต่อไป

ด้านนักวิเคราะห์จาก BNY มองว่า แม้จะมีความไม่แน่นอนทางการเมืองเพิ่มขึ้นแต่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะทรงตัวอยู่ในกรอบปัจจุบันได้ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแนวโน้มการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ

ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Aletheia Capital ในสิงคโปร์ ให้ความเห็นว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในทั้งสองประเทศ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองระยะยาว เนื่องจากปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ แนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น และราคาหุ้นที่อยู่ในระดับน่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...