อยากสำเร็จเหมือน บิล เกตส์ ต้องพักสมอง ทำสมาธิ กระตุ้นความฉลาด

ในโลกการทำงาน ทุกคนย่อมอยากประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ซึ่งในยุคหนึ่งเรามักเคยได้ยินคำแนะนำจากไลฟ์โค้ชกันบ่อยๆ ว่า ต้องใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่า ทำงานหนักขึ้นกว่าคนอื่น ต้องหารายได้หลายๆ ทาง และเลิกผัดวันประกันพรุ่ง ฯลฯ แต่ถ้าคำแนะนำเหล่านี้ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องล่ะ?

เพราะรู้หรือไม่? “คุณสมบัติอันดับ 1” ของคนที่ฉลาดมากอย่างเช่น บิล เกตส์ และเลโอนาร์โด ดา วินชี ไม่เกี่ยวกับการมี IQ สูง หรือการทำงานหนักแบบไม่พัก แต่บุคคลระดับโลกเหล่านี้ กลับประสบความสำเร็จในอาชีพการทำงาน ล่าสุด..นักประสาทวิทยา ชี้ว่า เบื้องหลังความสำเร็จของทั้งสองคนดังกล่าว อาจมาจากการปล่อยให้สมองได้พัก ปล่อยความคิดให้ล่องลอย ซึ่งเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้ทำงานมีประสิทธิภาพดีขึ้นก็ได้?

โจเซฟ เจเบลลี (Joseph Jebelli) นักประสาทวิทยา จาก University College London และเคยเป็นนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เล่าว่า จุดเริ่มต้นของการศึกษาครั้งนี้มาจากประสบการณ์ตรงของครอบครัวที่มีความสัมพันธ์กับการทำงานแบบ “หมกมุ่นเกินพอดี” (toxic relationship with work) จนกระทบต่อสุขภาพ

นี่จึงเป็นที่มาทำให้เขาสนใจศึกษาด้านประสาทวิทยาของ “การอยู่คนเดียว ความสันโดษ” และ “การพักผ่อน” ซึ่งผลลัพธ์ที่เขาค้นพบถือว่าน่าทึ่ง

ความสันโดษ ช่วยกระตุ้นให้สมองสร้างสรรค์มากขึ้น

ในแง่การทำงานของสมอง การอยู่คนเดียวช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ เพราะทำให้มีพื้นที่ทางจิตใจสำหรับให้ไอเดียเติบโต ไม่ว่าจะเป็น การเขียนปลดปล่อยความคิด, ทำสมาธิ,เล่นดนตรี, วาดภาพ, ทำสวน หรือสวดมนต์ การได้ทำกิจกรรมเหล่านี้อยู่ตามลำพัง มักเป็นสิ่งที่สมองต้องการเพื่อทำงานเหล่านี้ได้ดีขึ้น

เนื่องจากในช่วงเวลาแห่งความสันโดษ เครือข่ายสมองส่วนที่เรียกว่า Default Brain Network จะทำงานเต็มที่ เพื่อสร้างการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทใหม่ๆ เสริมทักษะและความสามารถในการรับข้อมูลใหม่ รวมถึงกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ยกตัวอย่างคนเก่งและประสบความสำเร็จระดับโลกหลายคน ที่มีนิสัยชอบใช้เวลาอยู่คนเดียว เช่น "บิล เกตส์" (Bill Gates) ที่ในยุคแรกของการทำงานในบริษัทไมโครซอฟท์ บิล เกตส์ จะจัด “Think Week” ปีละสองครั้ง เดินทางไปพักในกระท่อมเงียบๆ พร้อมหนังสือกองโต เพื่อใช้เวลาทบทวน เรียนรู้ และคิดโดยไม่มีใครรบกวน แม้แต่ครอบครัวหรือพนักงานก็ห้ามมาเยือน

ผลลัพธ์ของเวลาส่วนตัวนี้ ส่งผลลัพธ์ทางไอเดียและความคิดได้อย่างมหาศาล ยืนยันจากข้อมูลของ The Wall Street Journal เคยรายงานว่า หนึ่งใน Think Week ของเขานำไปสู่การเปิดตัว Internet Explorer ในปี 1995 อีกด้วย

ความสันโดษยังมีประโยชน์สำหรับช่วงเวลาที่คุณรู้สึกติดขัด "เลโอนาร์โด ดา วินชี" (Leonardo da Vinci) เป็นอัจฉริยะผู้ครุ่นคิด มีรายงานว่า ช่วงที่เขาวาดภาพอาหารมื้อสุดท้าย เขาทำงานอยู่นานและวาดไม่เสร็จสักที ขณะที่ติดขัดด้านไอเดียอยู่นั้น เขาใช้เวลาอยู่คนเดียวและจ้องมองภาพอาหารมื้อสุดท้ายเป็นเวลาหลายชั่วโมง ก่อนจะปัดพู่กันเพียงครั้งเดียวแล้ว แล้วก็จบงานได้อย่างสมบูรณ์แบบในที่สุด

วิธีใช้เทคนิค “ความสันโดษ” พัฒนาให้สมองแข็งแรงขึ้น

1. เริ่มจากการออกไปคนเดียว

การวางแผนเดินทางหรือไปพักผ่อนคนเดียวอาจดูน่ากลัว เพราะกังวลเรื่องความเหงาหรือความเบื่อ แต่การก้าวออกจากกิจวัตรเดิมๆ และอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่จะช่วยปลดปล่อยความคิด กระตุ้นประสาทสัมผัส และเปิดโอกาสให้ทบทวนตัวเอง

2. เริ่มจากเวลาสั้นๆ

ลองใช้เวลาเพียง 10 นาทีต่อวันอยู่คนเดียวในที่เงียบๆ เพื่อผ่อนคลายและหายใจลึกๆ ช่วงเวลาสั้นๆ นี้จะช่วยให้สมองค่อยๆ ปรับเข้าสู่ภาวะผ่อนคลาย และกระตุ้นการทำงานของ Default brain network (DMN) ซึ่งเป็นเครือข่ายสมองขนาดใหญ่

3. เลือกคบคนให้รอบคอบ

เมื่อถึงเวลาสังสรรค์ ให้เลือกพบปะคนที่ให้พลังงานบวกจริงๆ แทนการใช้เวลากับคนที่สร้างความเครียด เช่น เพื่อน toxic หรือญาติที่ชอบตำหนิ เพราะสิ่งเหล่านี้จะเพิ่มฮอร์โมนคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) ทำลายความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ

4. ใช้เวลาอยู่คนเดียวเพื่อทบทวน

ลองใช้เวลานี้เพื่อสะท้อนความรู้สึก ไม่ว่าจะนั่งสมาธิหรือเขียนบันทึก การไตร่ตรองจะช่วยให้เข้าใจตัวเองลึกขึ้นและจัดการอารมณ์ได้ดีขึ้น

5. ทำกิจกรรมคนเดียวที่ช่วยจดจ่อกับปัจจุบัน

ลองทำกิจกรรมคนเดียวเงียบๆ บ้าง เช่น เดินเล่น เขียนไดอารี หรือฝึกโยคะ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงให้ประโยชน์จากความสันโดษ แต่ยังช่วยให้จิตใจอยู่กับปัจจุบัน ลดความฟุ้งซ่านและผ่อนคลายสมอง

ดังนั้น การอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องน่าเหงาหรือเสียเวลาเสมอไป แต่กลับเป็นโอกาสให้สมองได้พัก ฟื้นฟูพลังความคิด และสร้างการเชื่อมโยงใหม่ๆ หากเรารู้จักใช้ช่วงเวลาลำพังอย่างมีคุณค่า มันอาจกลายเป็นพลังสำคัญที่ช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้น คิดสร้างสรรค์มากขึ้น และเข้าใจตัวเองมากขึ้นเช่นกัน

อ้างอิง: CNBC, Britannica, The Wall Street Journal