ไทยต้องมีคาสิโนหรือไม่? ศึกษา Entertainment Complex จาก Galaxy Resorts Macau ผู้กวาดรายได้กว่าปีที่ผ่านมากว่า 1.68 แสนล้านบาท
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เป็นหนึ่งในโครงการของรัฐบาลไทย ที่ตั้งใจปลุกปั้นให้เป็นเมกะโปรเจกต์ใหญ่ หวังสร้างรายได้เข้าประเทศ พร้อมยืนยันว่าคาสิโนจะเป็นเพียงส่วนประกอบเล็กๆ ของโครงการทั้งหมดเท่านั้น แต่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจากการลงทุนระยะแรกไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท พร้อมสร้างงาน 9,000-15,300 ตำแหน่งต่อปี
ภายหลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร แต่เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา ครม. มีมติถอนร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ออกจากการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งต้องจับตาดูทิศทางจากนี้จะไปต่ออย่างไร
แม้ว่าโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของไทยจะยังมีความไม่แน่นอน แต่การศึกษาตัวอย่างจากประเทศที่มีประสบการณ์ในธุรกิจนี้มายาวนาน อาจช่วยให้เห็นแนวทางและบทเรียนที่น่าสนใจ วันนี้ THE STANDARD WEALTH จึงขอพาไปสำรวจที่เขตบริหารพิเศษมาเก๊าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Macau Special Administrative Region หรือ SAR) โดยเฉพาะ Galaxy Entertainment Group หนึ่งในผู้พัฒนาเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นผู้สร้าง Galaxy Resorts Macau รีสอร์ตหรูในย่าน Cotai ของมาเก๊า เพื่อดูรูปแบบการดำเนินธุรกิจประเภทนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- จุดจบบ่อนชายแดน? ไทยเดินหน้าดัน ‘คาสิโนถูกกฎหมาย’ สะเทือนถึงกัมพูชา…
- นิคมชี้ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เริ่มพิจารณาตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ์…
- ภูมิธรรมแจงปลดล็อกพนันโป๊กเกอร์ ไม่ใช่การปูทาง เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
ส่องอาณาจักร Galaxy Macau รีสอร์ตหรูในมาเก๊า
ภายในอาณาจักร มีโรงแรมกว่า 8 แบรนด์ ได้แก่ Galaxy Hotel, Hotel Okura Macau, Banyan Tree, JW Marriott, The Ritz-Carlton, Andaz, Raffles และ Capella มีห้องพักรวมประมาณ 5,000 ห้อง เน้นตกแต่งด้วยสีทองเป็นหลัก และบริเวณรอบๆ จะมีพื้นที่รีสอร์ตสไตล์ชายหาด สไลเดอร์ สระน้ำแบบเนินน้ำ และชายหาดทรายเทียมยาวถึง 575 เมตร
รวมถึงศูนย์การค้า Galaxy Promenade แหล่งช้อปปิ้งขนาด 100,000 ตารางเมตร ที่รวบรวมแบรนด์ดังกว่า 200 แบรนด์เอามาไว้ด้วยกัน พื้นที่ในศูนย์การค้าจะเชื่อมต่อกับคาสิโน รวมกว่า 37,160 ตารางเมตร มีโต๊ะเล่นเกม ประมาณ 700 โต๊ะ และตู้สล็อตไม่ต่ำกว่า 1,500 เครื่อง และศูนย์การประชุมครบวงจร Raffles, Andaz Macau, Galaxy Arena เวทีคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ MICE ถึง 40,000 ตร.ม.
แม้ Galaxy Resorts Macau จะเป็นหนึ่งในรีสอร์ตขนาดใหญ่ของมาเก๊า แต่ช่วงหลังต้องเผชิญกับการแข่งขันมากขึ้น ต้องคอยรับมือจากคู่แข่งในตลาดและพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังคงเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในมาเก๊า
ขณะเดียวกันยังมีความสนใจที่จะลงทุนเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในไทย โดยย้ำถึงความพร้อมร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเพื่อผลักดันให้วิสัยทัศน์ดังกล่าวให้เกิดขึ้นจริงในอนาคต
หากไทยต้องการฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเร็ว ต้องลงทุนในพื้นที่ใหม่
นอกจากเยี่ยมชมแล้ว THE STANDARD WEALTH ยังได้ร่วมวงสัมภาษณ์ เควิน เคลย์ตัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายแบรนด์ กาแล็กซี รีสอร์ต ประเทศไทย ที่เริ่มฉายภาพว่า แม้ ครม. ได้ถอนร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ออกไปแล้ว แต่ Galaxy Entertainment ยังมองเห็นโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนในไทย
“เชื่อว่าธุรกิจนี้จะเกิดขึ้นในไทยได้ และพร้อมที่จะนำประสบการณ์การทำเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่สะสมมานานกว่า 20 ปี เข้ามาช่วยผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้แข่งขันกับประเทศทั่วโลก”
เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมากในสังคมไทย หากมองไปที่ประเทศอื่นๆ อย่างสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับการยอมรับในด้านความปลอดภัย ข้อมูลในปี 2024 ระบุว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 16.5 ล้านคน โดยประมาณ 50% เลือกพักในรีสอร์ตแบบครบวงจร และมีการเข้าพักเฉลี่ย 3.6 คืน
ข้อมูลจาก Galaxy Resorts Macau ระบุว่า รีสอร์ตสองแห่งของสิงคโปร์สร้างรายได้จากคาสิโนรวม 5.7 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.84 แสนล้านบาท และยังสร้างรายได้ให้ประเทศเพิ่มอีก 2 พันล้านดอลลาร์ ประมาณ 6.5 หมื่นล้านบาทจากการท่องเที่ยวที่ไม่ใช่คาสิโน ทำให้สถิติรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุดของสิงคโปร์อยู่ที่ 2.32 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 7.51 แสนล้านบาท โดยมีแบรนด์อย่าง Marina Bay Sands เป็นสัญลักษณ์ที่ทั่วโลกรู้จักกันดี
อย่างไรก็ตาม มุมมองจากต่างประเทศต่อศักยภาพของไทยก็น่าพิจารณา นักวิเคราะห์จาก Citigroup ประเมินว่า ด้วยจำนวนประชากรที่นิยมการพนัน โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวที่พร้อม และรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไทยมีโอกาสก้าวขึ้นเป็น ‘ศูนย์กลางการพนัน’ อันดับ 3 ของโลก รองจากมาเก๊าและลาสเวกัส
Citigroup คาดการณ์ว่ารายได้จากธุรกิจการพนันของไทยอาจสูงถึง 9.1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.95 แสนล้านบาท) ในปี 2031 แซงหน้าสิงคโปร์ที่ 8.3 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.69 แสนล้านบาท) โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานว่ามีการดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมการจัดสรรใบอนุญาตให้ 2 แห่งในกรุงเทพฯ และอีกเมืองละ 1 แห่งในพัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่
ฟากเคลย์ตันให้ความเห็นว่า ถ้าประเทศไทยอยากจะให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวให้เร็ว ก็ต้องลงทุนสินทรัพย์ในพื้นที่ใหม่ๆ ยิ่งในตอนนี้ตลาดการท่องเที่ยวในเอเชียกำลังเติบโตอย่างมาก ด้วยการขยายตัวของลูกค้าชนชั้นกลางในประเทศแถบเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศไทย
“ในปี 2019 ไทยเคยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอันดับ 8 ของโลก แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวเริ่มน้อยลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปแล้วไม่กลับมา”
จากอินไซต์พบว่าคนจีนกำลังซื้อสูงกว่า 81% ไม่มั่นใจเรื่องความปลอดภัยในไทย จากข่าวลักพาตัวในช่วงหลายเดือนก่อน ตลอดจนเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา
และในสายตานักท่องเที่ยวจีนไทยกลายเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพสูงขึ้น จึงเปลี่ยนไปเที่ยวเวียดนามและญี่ปุ่นแทน และแม้รัฐบาลจะพยายามดึงนักท่องเที่ยวประเทศอื่นเข้ามา แต่ไม่สามารถทดแทนกันได้
หมดยุคเที่ยวแบบเดิม ท่องเที่ยวไทยเผชิญความท้าทายใหญ่
เห็นได้จากในช่วงครึ่งปีแรก ททท. ได้ปรับลดคาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2568 ลงจาก 39 ล้านคน เหลือ 35.5 ล้านคน แน่นอนว่ารายได้จากการท่องเที่ยวก็จะลดลงด้วยเช่นกัน
ยิ่งสถานการณ์ท่องเที่ยวในปัจจุบัน โมเดลการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิมเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มคนชั้นกลางไปจนถึงระดับบนที่เริ่มเติบโตขึ้นในประเทศเอเชีย กำลังมองหาสถานที่เที่ยวมากกว่าแค่จุดหมายปลายทาง แต่ต้องการประสบการณ์ที่มุ่งเน้นคุณภาพ มีมูลค่าสูง และปรับเปลี่ยนตามความต้องการเฉพาะได้
ยิ่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกำลังเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่ลดลง และสถานที่และบริการในบางพื้นที่ล้าสมัย ดังนั้นเคลย์ตันจึงมองว่าภาคการท่องเที่ยวจึงจำเป็นต้องสร้างสิ่งใหม่ๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวอยากกลับมาเที่ยวซ้ำ และไม่พึ่งพาโมเดลแบบดั้งเดิมเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
นักเดินทางกระเป๋าหนัก พร้อมทุ่มงบเที่ยวหรู
เมื่อมาดูข้อมูลจากการสำรวจล่าสุด พบว่า 72% ของกลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งสูงวางแผนใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวแบบลักชัวรีเพิ่มขึ้น และชาวจีนชนชั้นกลางระดับบนคือกลุ่มลูกค้าหลักของการบริโภคสินค้าและบริการลักชัวรีในต่างประเทศด้วยสัดส่วนถึง 47%
ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวมักค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางด้วยตนเองผ่านช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวในเมือง ชายทะเล สำรวจธรรมชาติ หรือล่องเรือ โดยอาศัยเว็บไซต์เป็นทางการของจุดหมายปลายทางเป็นหลัก และที่น่าสนใจคือ 20% ของนักเดินทางหันมาใช้ AI เพื่อช่วยวางแผนการเดินทาง และพิจารณาที่ความปลอดภัย ค่าใช้จ่ายที่คุ้มกับความสะดวกในการเข้าถึงบริการเป็นหลัก
สะท้อนให้เห็นว่าถ้าประเทศไทยปรับตัวได้เร็วก็จะสามารถดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ และต้องชูรากฐานด้านวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง ทั้งระบบนิเวศท่องเที่ยว อาหาร และธุรกิจเวลเนส แบบครบวงจร โดยการนำแนวทางระบบนิเวศการท่องเที่ยวที่ครบวงจรมาใช้ โดยเน้นชูจุดขายความเป็นไทยเอาไว้ด้วยกันจะทำให้ไทยน่าสนใจมากขึ้น
พร้อมลงทุนหากกฎหมายผ่านร่าง พ.ร.บ. ได้สำเร็จ
ทั้งนี้ หากร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ของไทยผ่านในอนาคต เคลย์ตันย้ำว่า Galaxy Resorts Thailand ก็พร้อมลงทุนด้วยมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ตลอดจนทำงานร่วมกับรัฐบาล และหาพันธมิตรร่วมลงทุนสร้างโครงการขนาดใหญ่แบบครบวงจรในทำเลกรุงเทพฯ ที่จะมีทั้งโรงแรมหรู ศูนย์การค้า ร้านอาหาร และมีคาสิโนประมาณ 5%
“ต้องยอมรับว่าคาสิโนไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น สุดท้ายอยากให้มองที่ประสบการณ์ใหม่ๆ มากกว่าและมั่นใจว่าจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน, ฮ่องกง, ไต้หวัน, สิงคโปร์, มาเลเซีย และอินเดีย เข้ามาในไทยได้มากขึ้น” เคลย์ตันย้ำ
อาณาจักรคาสิโน มาเก๊าทำรายได้มหาศาล
อีกหนึ่งกรณีศึกษาที่น่าสนใจคือเขตบริหารพิเศษมาเก๊า ที่เริ่มอนุญาตให้จัดตั้งคาสิโนอย่างเป็นทางการในช่วงปี 2005-2006 ภายใต้การออกใบอนุญาตจากภาครัฐให้กับผู้ประกอบการเพียง 6 รายเท่านั้น พร้อมกำหนดมาตรการกำกับดูแลอย่างเข้มข้น เพื่อให้ธุรกิจโปร่งใสและอยู่ในกรอบกฎหมาย อีกทั้งยังมีการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระระดับสากล เช่น International Financial Task Force (IFTF) เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านการเงินและการฟอกเงิน
ปัจจุบันมาเก๊ายังคงพึ่งพารายได้จากการพนันเป็นหลักสูงถึงราว 90% ของรายได้จากนักท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมนี้คิดเป็นกว่า 40% ของ GDP
ถามว่าทำไมคาสิโนถึงทำเงินได้มาก เควิน ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมให้เหตุผลว่า ความสำเร็จนี้เกิดจากพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยเฉพาะในเอเชียที่มีวัฒนธรรมชอบการเสี่ยงโชค จะเสี่ยงโชคน้อยหรือมากขึ้นอยู่กับตัวบุคคล บางคนอาจใช้เงินแค่ 100 บาท บางคน 5,000 บาท ไปเล่นปีละหลายครั้ง
ซึ่งในปี 2024 มาเก๊ามีจำนวนนักท่องเที่ยวเกือบ 35 ล้านคน โดย 46% มีการพักเฉลี่ย 2.3 วัน มีรายได้จากคาสิโนรวมกว่า 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 9.05 แสนล้านบาท และมีรายได้จากการท่องเที่ยวที่ไม่ใช่จากคาสิโน 9 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2.91 แสนล้านบาท
โดยหนึ่งในแหล่งรายได้สำคัญก็มาจาก Galaxy Resorts Macau ที่สร้างรายได้ 5.2 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.68 แสนล้านบาท (ตัวเลขดังกล่าวไม่มีการเปิดเผยว่าเป็นคาสิโนเท่าไหร่) ให้กับเศรษฐกิจมาเก๊า โดยมีนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวเอเชียทั้ง ฮ่องกง, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, มาเลเซีย, เกาหลีใต้, อินโดนีเซีย และไทย รวมๆ แล้วมีผู้เยี่ยมชมจากทั่วโลกกว่า 22 ล้านครั้งต่อปี
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากมาเก๊าให้ภาพหนึ่งของเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่ครบวงจร ซึ่งแต่ละประเทศต่างมีแนวทางและข้อพิจารณาที่แตกต่างกัน สำหรับประเทศไทย การตัดสินใจเรื่องนี้ยังคงต้องผ่านการถกเถียงและศึกษาอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงทั้งผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในอนาคต
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าประเทศไทยจะเลือกเดินไปในทิศทางใด สิ่งสำคัญคือการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง เพราะในขณะที่ไทยยังคงชั่งน้ำหนักทางเลือกต่างๆ ประเทศคู่แข่งในภูมิภาคต่างพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างรวดเร็ว และช่วงเวลาที่เสียไปอาจกลายเป็นโอกาสที่หายไปตลอดกาล
หมายเหตุ: ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.37 บาท ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2568