ชัวร์ก่อนแชร์ : อันตรายของ “ชา” มะเร็งลำไส้ เสี่ยงไตวาย กระดูกพรุน จริงหรือ ?
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 15 สิงหาคม 2568 เวลา 17.18 น. • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมทบทความนี้เรียบเรียงโดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence : AI)โดยมีเนื้อหาหลักจากคลิปวิดีโอ
11 สิงหาคม 2568
มีการแชร์เตือนว่า อันตรายของ “ชา” ทั้ง มะเร็งลำไส้ เสี่ยงไตวาย และ กระดูกพรุนนั้น
บทสรุป : จริงบางส่วน ไม่ควรแชร์
ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ ตรวจสอบกับ อาจารย์ ดร.พิมพ์อร สุขแล้ว สาขาอาหาร โภชนาการ และการกำหนดอาหาร ภาควิชาคหกรรมศาสตร์ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
(สัมภาษณ์เมื่อ 15 กรกฎาคม 2568)
“ดื่มชา” อันตรายจริงหรือ ? สรุปประเด็นจากผู้เชี่ยวชาญ
ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านโซเชียลมีเดีย เรามักพบเห็นคำเตือนสุขภาพที่น่าตกใจอยู่บ่อยครั้ง หนึ่งในนั้นคือกระแสข่าวที่อ้างว่าการดื่มชาเป็นประจำอาจนำไปสู่โรคร้ายแรงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งลำไส้ ไตวาย หรือแม้กระทั่งกระดูกพรุน ข้อมูลเหล่านี้สร้างความกังวลให้กับคอชาเป็นอย่างมาก แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ? รายการ “ชัวร์ก่อนแชร์” ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้คำตอบในทุกประเด็นข้อสงสัย เพื่อให้เราบริโภคชาได้อย่างสบายใจและได้ประโยชน์สูงสุด
ประเด็นที่ 1 : ดื่มชาทำให้ไตวาย ?
ข้อกังวลนี้มีมูลความจริงอยู่บ้าง แต่ต้องทำความเข้าใจในรายละเอียด ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า ในชามีสารที่ชื่อว่า ออกซาเลต (Oxalate) ซึ่งหากบริโภคในปริมาณที่เข้มข้นและต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่มีภาวะไตทำงานบกพร่องหรือทำงานหนักอยู่แล้วได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับบุคคลทั่วไปที่มีสุขภาพไตปกติ การดื่มชาในปริมาณที่พอเหมาะไม่ได้ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะไตวายแต่อย่างใด
ประเด็นที่ 2 : ดื่มชาเสี่ยงมะเร็งลำไส้ ?
นี่คือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างสิ้นเชิง ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า ไม่มีงานวิจัยใดที่ชี้ชัดว่าการดื่มชาเป็นสาเหตุของมะเร็งลำไส้ ในทางตรงกันข้าม มีงานวิจัยในระดับหลอดทดลองและเซลล์ที่พบว่าสารสำคัญในชาเขียวอาจมีส่วนช่วย ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ ได้อีกด้วย แม้ว่าผลการทดลองนี้จะยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนในมนุษย์ แต่ก็เป็นแนวโน้มที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของชา
ประเด็นที่ 3 : ดื่มชาแล้วกระดูกพรุน ?
ประเด็นนี้มีความซับซ้อนเล็กน้อย งานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าสารในชาเขียวอาจช่วยชะลอการสลายของมวลกระดูกและเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม แต่ในขณะเดียวกัน “กาเฟอีน” ที่มีอยู่ในชาก็มีฤทธิ์ขับแคลเซียมออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ ชาบางชนิดยังมีฟลูออไรด์สูง ซึ่งหากได้รับมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อกระดูกได้ แต่ในทางปฏิบัติ ยังไม่เคยมีรายงานผู้ป่วยที่มีปัญหาจากฟลูออไรด์เกินขนาดจากการดื่มชา ดังนั้น หากบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมก็ไม่น่าเป็นห่วง
ข้อควรรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการดื่มชา
- ความร้อน : การชงชาด้วยน้ำที่ร้อนจัดเกินไป (100-120 องศาเซลเซียส) สามารถทำลายสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ได้ อุณหภูมิที่เหมาะสมในการชงชาคือประมาณ 70-80 องศาเซลเซียส ซึ่งจะช่วยรักษาสารอาหารสำคัญไว้ได้ดีที่สุด
- การดื่มชากับนม : โปรตีนในนมสามารถจับกับสารคาเทชินในชา ทำให้ร่างกายดูดซึมสารต้านอนุมูลอิสระได้น้อยลง แต่ก็ยังคงมีสารคาเทชินที่เป็นประโยชน์เหลืออยู่
- เด็กกับการดื่มชา : ไม่แนะนำให้เด็กดื่มชา เนื่องจากสารแทนนินอาจรบกวนการดูดซึมโปรตีนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต และกาเฟอีนอาจส่งผลต่อการนอนหลับของเด็กได้
- ดื่มชากับมื้ออาหาร : สารแทนนินในชาอาจขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก โดยเฉพาะธาตุเหล็กที่มาจากพืช ผู้ที่มีภาวะโลหิตจางจึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มชาพร้อมมื้ออาหาร โดยควรเว้นระยะห่างประมาณ 1-2 ชั่วโมง
- ชาเขียวบรรจุขวด : ชาประเภทนี้มักมีสาระสำคัญน้อยกว่าชาที่ชงเองสด ๆ เนื่องจากกระบวนการผลิตที่ต้องผ่านความร้อนสูง (พาสเจอไรซ์) ทำให้สารต้านอนุมูลอิสระสลายไปบางส่วน
บทสรุป : ดื่มชาอย่างชาญฉลาด
ผู้เชี่ยวชาญได้ให้ข้อสรุปว่า เราไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกกับข่าวลือต่าง ๆ เกี่ยวกับการดื่มชา การดื่มชาในปริมาณที่พอเหมาะและชงอย่างถูกวิธีนั้นให้ประโยชน์มากกว่าโทษ สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือ ปริมาณน้ำตาล ที่เติมลงในชาปรุงสำเร็จตามร้านค้าต่าง ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคอ้วน เบาหวาน และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่น ๆ ดังนั้น แทนที่จะกังวลกับตัวชา ควรมุ่งเน้นไปที่การบริโภคอย่างสมดุลและใส่ใจในส่วนผสมอื่น ๆ ที่มาพร้อมกับชาจะดีกว่า บทความที่แชร์ต่อกันโดยขาดการตรวจสอบจึงไม่ควรเชื่อถือหรือส่งต่อ เพราะอาจสร้างความเข้าใจผิดและความกลัวโดยไม่มีมูลความจริง
ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย : พีรพล อนุตรโสตถิ์
ตรวจสอบบทความโดย : ชยานิษฐ์ ผ่องใส