เจ้าอาวาสวัดดังที่แท้หนีคดีมาบวชเป็นพระ เปลี่ยนชื่อและทะเบียนบ้านใหม่ไต่เต้าจนเป็นใหญ่และโด่งดัง

เมื่อปี พ.ศ. 2559 เกิดกรณีอื้อฉาวในวงการสงฆ์จีน เมื่อสื่อท้องถิ่นมณฑลอานฮุยรายงานว่า เมื่อ 16 ปีก่อน เจ้าอาวาสวัดชื่อดัง คือ ซื่อกวงเหวิน แห่งวัดเฟิงหยางแห่งอำเภอหลงซิง (凤阳县龙兴寺) ถูกสงสัยว่าสมรู้ร่วมคิดกับผู้อื่นในการสังหารคนสามคน ต่อมาได้บวชเป็นพระภิกษุที่ภูเขาจิ่วหัว อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพุทธศาสนามหายาน และในที่สุดก็ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดชื่อดัง

ทั้งนี้ วัดเฟิงหยางแห่งอำเภอหลงซิง เป็นวัดที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์จีน เพราะเป้รวัดที่ จูหยวนจาง หรือจักรพรรดิหมิงไท่จู่ (明太祖朱元璋) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิงเคยผนวชที่นี่เมื่อครั้งที่ยังทรงเป็นสามัญชน

กลับมาที่เรื่องของพระหนีคดีมาบวช เรื่องเกิดขึ้นสิบหกปีก่อน ในเย็นวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 จางลี่เหว่ย และคนอื่นๆ ได้สังหารผู้คนไปสามคนด้วยปืนพกและมีดควบคุม ก่อนจะหลบหนีไป

ขณะหลบหนี จางลี่เหว่ยได้อำพรางตนเองโดยใช้นามแฝงว่า ซุนหงเทา และอำพรางทะเบียนบ้านของตนหลายขั้นตอนเพื่อหลบเลี่ยงการติดตาม

ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2543 หลังจากหลบหนีจากอาชญากรรมได้ไม่นาน จางลี่เว่ยก็ได้บวชเป็นพระภิกษุที่ภูเขาจิ่วหัว (九华山) โดยใช้ชื่อในศาสนาพุทธว่า ซื่อกวงเหวิน (释广闻) ในปี พ.ศ. 2545 มาประจำอยู่ที่วัดหลงซิง ไต่เต้าจากลูกวัดธรรมดา จนได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสในช่วงปลายปี พ.ศ. 2557

ที่น่าเหลือเชื่อก็คือ ไม่เพียงได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสเท่านั้น ซื่อกวงเหวินไต่เต้าขึ้นมาอย่างมั่นคง โดยในปี พ.ศ. 2550 เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาการเมืองประจำเขตเฟิงหยาง ในปี พ.ศ. 2551 เขาดำรงตำแหน่งรองประธานสมาคมพุทธศาสนาฉูโจว และต่อมาเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาการเมืองฉูโจว ในปี พ.ศ. 2559 เขาดำรงตำแหน่งประธานสมาคมพุทธศาสนาเขตเฟิงหยาง

ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นตำแหน่ง "เจ้าพนักงาน" ทางการเมืองทั้งสิ้น นับว่าไม่ธรรมดาเลยสำหรับ "คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า" ที่จู่ๆ ก็มาบวชที่วัดเก่าแก่แล้วก็ไต่เต้าจนเป็นใหญ่ได้ขนาดนี้

ในเวลานั้น พระจากวัดหลงซิงกล่าวกับสือจีน 'เฉิงตูซางเป้า' (成都商报) ว่าเมื่อ ซื่อกวงเหวิน เดินทางมาถึงวัดครั้งแรก เขาเป็นเพียงพระธรรมดาๆ คนหนึ่งมีหน้าที่กวาดพื้นทำความสะอาดวัด ต่อมาได้รับมอบหมายให้ดูแลพระวิหาร และต่อมาก็ดูแลห้องรับรองแขก รับผิดชอบงานต้อนรับ จนไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหาร และได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสในปี พ.ศ. 2557 "ท่านค่อยๆ สร้างผลงานทีละเล็กทีละน้อย ไม่เช่นนั้นท่านคงไม่ได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส ท่านยังได้รับการยอมรับจากทางวัดและรัฐบาล ไม่เช่นนั้นท่านคงไม่ได้เป็นสมาชิกสภาเทศบาล"

พระจากวัดหลงซิงกล่าวว่า ก่อนที่ ซื่อกวงเหวิน จะมาอยู่ที่วัด วัดหลงซิงอยู่ในสภาพทรุดโทรม หลังจากมาอยู่ที่นี่แล้ว ซื่อกวงเหวินได้บูรณะซุ้มประตูทางเข้าวัด วิหารหลัก หอฉันสองชั้น ห้องโถงรับรองสองชั้น และสร้างระเบียงวัฒนธรรม วิหารกษิติครรภ วิหารพระอรหันต์ห้าร้อยองค์ และเจดีย์เจ็ดพระพุทธะองค์ขึ้นใหม่

"ท่านจะตื่นประมาณตีสี่เพื่อสวดมนต์ทำวัตรเช้า ซึ่งก็คือตีห้า แม้จะอยู่ในกุฎิ ท่านก็ยังสวดมนต์เช้าและเย็น ท่านมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในทุกเรื่องนอกวัด ท่านเป็นเจ้าพนักงานของรัฐที่ดี ช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้สูงอายุและเด็กที่ขาดเรียน ท่านยังช่วยขอทานที่หน้าประตูมาอยู่ในทะเบียนบ้านเดียวกับท่านเพื่อได้รับเงินช่วยเหลือค่าครองชีพขั้นต่ำอีกด้วย" พระภิกษุในวัดหลงซิงกล่าว

และพระภิกษุในวัดยังบอกด้วยว่า "หากท่านทำผิดพลาดครั้งใหญ่จริง ท่านก็ได้ชดใช้ความผิดมาตลอดหลายปีนี้แล้ว"

นี่ไม่ใช่กรณีแรกที่ "อาชญากร" หนีบมาบวชเป็นพระ ทั้งยังสามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นพระภิกษุระดับสูงในด้านศาสนาและการเมือง

ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2537 ครอบครัวหนึ่งถูกฆาตกรรมในจิ่วเจียง มณฑลเจียงซี หลังจากการสังหารหมู่ ผู้ต้องสงสัย 6 คนถูกจับกุมและตัดสินโทษ แต่จำเลยคนที่สอง สวีซินเหลียน ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

จนกระทั่งในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2554 พระธรรมาจารย์เว่ยตี๋ (惟迪法师) เจ้าอาวาสวัดจิ้งฉือ (净慈寺) และวัดเซียงจี (香积寺) อันเก่าแก่ในเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ถูกจับกุม ตำรวจยืนยันว่าท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ที่จิ่วเจียงเมื่อ 17 ปีก่อน

จากการสอบสวนไล่เรียงที่มาก็พบว่า ในช่วงฤดูร้อนปี พ.ศ. 2537 มีหนุ่มชาวพุทธเดินทางมาถึงวัดซานจู่อำเภอเฉียนซาน (潜山县三祖寺) มณฑลอานฮุย เมื่อมาถึงวัดก็ทำงานรับผิดชอบทำความสะอาดและจำหน่ายบัตร หลังจากผ่านการทดลองงานเป็นเวลาหกเดือน ก็ได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุอย่างเป็นทางการ โดยใช้นามทางพุทธศาสนาว่า เว่ยตี๋

หลังจากออกจากวัดซานจู่ เว่ยตี๋ก็เริ่มออกเดินธุดงค์ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2543 ณ วัดจิ้งฉือ ริมฝั่งทะเลสาบตะวันตก (ซีหู) ทางตอนใต้ในเมืองหางโจว เว่ยตี๋ได้เริ่มต้นหน้าที่พื้นฐานของพระอีกครั้ง ด้วยการกวาดพื้นและตีระฆัง ในปี พ.ศ. 2546 เขาได้รับวุฒิบัตรวิศวกรโยธาแห่งชาติชั้นสองจากภาควิชาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เว่ยตี๋ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดเซียงจี

หลังจากนั้น เว่ยตี๋ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสทั้งวัดจิ้งฉือและวัดเซียงจี ทั้งวัดจิ้งฉือและวัดเซียงจีเป็นวัดที่มีชื่อเสียงและมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าพันปี แม้แต่พระจี้กง ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังและคนไทยรู้จักกันดีก็เคยพำนักอยู่ที่วัดจิ้งฉือมาแล้ว

แต่แล้สความจริงก็ถูกเปิดเผย เย็นวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ตำรวจหางโจว ได้นำตัวพระธรรมาจารย์เว่ยตี๋ไปยังสำนักงานความมั่นคงสาธารณะประจำท้องถิ่นและเก็บตัวอย่างเลือดของท่าน ตำรวจได้ทำการตรวจดีเอ็นเอเมื่อคืนที่ผ่านมา และเปรียบเทียบดีเอ็นเอกับมารดาของสวี่ซินเหลียน

ยืนยันว่าท่านคือสวีซินเหลียน หนึ่งในผู้มีส่วนร่วมการสังหารหมู่ที่จิ่วเจียงจริงๆ!

โดยทีมข่าวต่างประเทศ The Better

Photo - (ภาพประกอบข่าว บุคลในภาพไม่เกี่ยวกับเนื้อหา) - พระสงฆ์มองดูทะเลที่วัดบนเกาะผิงถาน ซึ่งเป็นจุดที่ใกล้ที่สุดในประเทศจีนกับเกาะหลักของไต้หวัน ในมณฑลฝูเจี้ยน ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2567 (ภาพโดย ADEK BERRY / AFP)