เปิดใจ ‘บิ๊กเต่า’ รับเป็นตัวแทนร้อง ก.ตร. ปมแต่งตั้ง หวังป้องคนทำงานถอดใจ
เมื่อวันที่ 26 ส.ค. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรม เรื่องการพิจารณาแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่ง และโยกย้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนข้าราชการตำรวจปี 68 ว่า จากการที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ชุดเล็ก ทำให้เราทราบว่า มีการพิจารณาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของพ.ร.บ.ตำรวจ 2565 ในหมวดของความรู้ความสามารถ และลำดับอาวุโส และเราเห็นว่าคนที่ได้ และมาเปรียบเทียบกับอีกหลายคนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ยังไม่มีความเหมาะสม ทำให้มีผู้เสียสิทธิ และคนเหล่านั้นได้มาพบตน ในฐานะที่ดูแลเรื่องทุจริตประพฤติมิชอบ ซึ่งมาขอคำปรึกษา โอดครวญว่าจะทำยังไงให้กฎหมายเป็นกฎหมาย
‘บิ๊กเต่า’ ดับเครื่องชนส่งหนังสือร้อง ‘ภูมิธรรม’ แต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม
ฉะนั้น ตนก็รับเป็นหน้าเสื่อ ในการร้องขอความเป็นธรรม ที่ ก.ตร.ไปตัดหลักเกณฑ์การพิจารณาของผู้การ จาก 2 ปี เป็น 3-4 ปี ทำให้เป็นการตัดสิทธิของผู้ที่ควรจะขึ้น ซึ่งมองว่า ทำให้ตำรวจไม่ได้รับความเป็นธรรม และส่งผลถึงการปฏิบัติหน้าที่ที่คุณตั้งใจทำงานกลับถูกตัดสิทธิ ทำให้ผลงานที่ออกมาอาจจะดีหรือไม่ดี แบบเช้าชามเย็นชาม
อีกทั้ง สิ่งที่ตนเขียนไป เพราะอยากขอความเป็นธรรมจาก ก.ตร. ชุดใหญ่ รวมถึงนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการนายกรัฐมนตรี โปรดพิจารณาเจ้าหน้าที่ทุกนายที่หลักเกณฑ์ครบ ให้ได้พิสูจน์ตามข้อมูลหลักฐานที่ได้ส่งไป โดย พ.ร.บ.ตำรวจ 2565 มีการเปลี่ยนหลักเกณฑ์หลังมีการลงความเห็นในที่ประชุมเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ให้สำรวจข้อมูลในการแต่งตั้ง และแบบฟอร์มของผู้มีสิทธิไปทำรายละเอียด รายละเอียดผลงานรวบรวมเป็นรูปเล่ม ทำให้มีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
แต่ในวันที่ 29 กรกฎาคมนั้น กลับมีหนังสือออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ชะลอหนังสือของ ผบ.ตร. ถึงการประเมินผลงาน และไม่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว จนทำให้ตำรวจที่ได้รับการแต่งตั้ง เราไม่รู้ว่ามีความสามารถยังไง พร้อมยกตัวอย่างกรณีของ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ที่อยู่ในตำแหน่งมา 3 ปี แต่ยังไม่ได้รับการพิจารณา ทั้งที่มีความสามารถ และมีผลงาน จึงอยากขอให้ความเป็นธรรมกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการหรือรองผู้บัญชาการ
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า ทุกคนทำงานก็หวังความเจริญก้าวหน้าในชีวิตเพื่อขวัญ และกำลังใจในการปฏิบัติ แต่ในเมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ความเป็นธรรมกับผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ได้ และผู้บังคับบัญชาจะเอาความเป็นธรรมให้พี่น้องประชาชนได้อย่างไร ฉะนั้นจะต้องพิจารณาในด้านคุณธรรมให้เป็นธรรมกับผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนให้ได้รับความเสมอภาค เพราะหากพิจารณาด้วยความเหมาะสมแล้วก็จะไม่เกิดเรื่องร้องเรียน
ส่วนวิธีการประเมิน ตนมองว่า ไม่ควรตัดสิทธิ เพราะเป็นวิธีที่ผ่านการเห็นชอบมาแล้วไม่ควรยกเลิก ไม่ใช่อ้างว่าไม่มีเวลาสัมภาษณ์หรือไม่ทันกำหนด เพราะว่าวันที่ 29-31 ตุลาคม การสัมภาษณ์ทางกองบัญชาการต่างๆ เขาสัมภาษณ์มาหมดแล้ว เหลือแค่รองผู้บัญชาการที่จะเป็นผู้บัญชาการ 80 คน ตนเชื่อว่า ใช้เวลา 1-3 วันก็เสร็จแล้ว มันไม่ใช่ข้ออ้าง และผลที่ได้จากการพิจารณากลั่นกรองมันไม่ชัดเจน
ส่วนหลังจากเมื่อวานนี้ที่ยื่นหนังสือถึงนายภูมิธรรมแล้ว เรายังไม่ได้คุยกัน แต่ท่านได้บอกผ่านคณะทำงานมาว่า จะให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ฉะนั้นความยุติธรรมความเป็นธรรมต้องเกิด และขอให้สบายใจได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ออกมาเป็นหน้าเสื่อจะส่งผลกระทบต่ออนาคตตัวเองหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า ถ้าเรากังวลมันก็จะเปลี่ยนแปลงระบบไม่ได้ ตนจะได้หรือไม่ได้ไม่ใช่เรื่อง แต่เป็นเรื่องที่ ก.ตร. ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ตนจึงร้องเรียนแทนทุกคนเพื่อผู้ใต้บังคับบัญชาจะได้มีขวัญ และกำลังใจ ไม่ใช่ทำงานรอวันเกษียณ ซึ่งตั้งข้อสังเกตคนที่ใกล้เกษียณควรจะต้องพิจารณา เพราะเป็นคนที่พูดไม่รู้เรื่อง เวลาขอความร่วมมือหรือสั่งการอะไรก็ควรที่จะพิจารณา ส่วนคนที่อายุน้อยๆ อย่างรุ่นน้องของตนมีจำนวนมาก เป็นหนุ่มไฟแรงที่ตั้งใจทำงาน แต่ใช่ว่าคนที่ใกล้เกษียณจะทำงานไม่ดี มีหลายคนที่ทำงานได้ดี และมีหลายคนที่ต้องปรับปรุงอย่างมาก
“ผมเชื่อว่าการร้องครั้งนี้เป็นการกระตุกเตือนผู้บังคับบัญชา ทั้งผู้บังคับบัญชาจากการเลือกตั้ง, การแต่งตั้ง และจากการดำรงตำแหน่ง ได้ย้อนกลับมาคิดว่าภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติควรจะเดินไปทางไหน ควรเดินไปในทางที่ชอบธรรม และเป็นธรรมเพื่อพี่น้องประชาชนหรือเดินในทางที่เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวหรือเป็นระบบอุปถัมภ์ก็ขอให้พิจารณา” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวทิ้งท้าย