ห่วง!ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำมาก-หากปรับค่าเงินลงมาให้เหมาะสมเกษตรกรจะมีรายได้มากขึ้น
เมื่อวันที่ 27 ส.ค.68 ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรมว.คลัง กล่าวถึงปัญหาราคาสินค้าเกษตรเกือบทุกชนิดตกต่ำมาก ว่า 1.สัปดาห์ที่แล้วอดีตรองนายกฯ และรมว.คลัง ส่งข้อมูลมาให้ดูแล้วน่าตกใจมาก
2.ท่านพูดว่ารายได้เกษตรกรวูบ ราคาสินค้าเกษตรร่วงหนักสุด รายได้เกษตรกรไทยวิกฤติ สศช.เผยไตรมาส 2/68 ดัชนีราคาสินค้าเกษตรร่วงแรงสุดในรอบ 51 ไตรมาส หรือกว่า 12 ปี 9 เดือน ทำให้รายได้เกษตรกรลดลง หลายพืชผลหลักราคาดิ่งแรงไม้ผลลดลง 27.5% ข้าวเปลือกร่วง 13% ยางพาราลด 16.1% มันสำปะหลังทรุด 38.9% และโคเนื้อลดลง 17.3% แม้สุกรและไก่เนื้อจะยังปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ไม่เพียงพอชดเชยภาพรวมที่ถดถอยลงอย่างหนัก และท่านยังพูดว่าเพียงในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ประมาณ 15% ซึ่งก็ส่งผลลบต่อแทบทุกสาขา ทั้งส่งออก ท่องเที่ยว และราคาสินค้าเกษตรทุกตัว รายได้เงินบาท 15% ที่หายไปนี้ มีความสำคัญสุดๆ ต่อการดำรงชีวิตของเกษตรกร ที่มีทั้งหนี้ดอกเบี้ย และทั้งค่าเช่าที่ดิน ที่ถมทับกันอยู่
3.ผมเห็นด้วยกับท่านอดีตรองนายกฯ ค่าเงินบาทที่แข็งกว่าทุกประเทศอย่างมาก มานานกว่า20 ปี เป็นปัญหาใหญ่ ที่หน่วยงานของรัฐบาลสร้างขึ้นมาเอง เนื่องจากไม่เข้าใจกลไกเศรษฐกิจมหภาคได้ทำให้ประเทศไทยไม่เจริญเติบโต ประชาชนยากจนมากกว่า 10 ปีแล้ว
4.ผมขอเสนอให้รัฐบาล ปรับค่าเงินบาทที่แข็งเกินไป ลงมาให้เหมาะสมในวันนี้ราคาสินค้าเกษตรเกือบทุกชนิดก็จะเพิ่มขึ้น เพราะเราได้เงินต่างประเทศมาแล้วแลกเงินบาทได้มากขึ้น นอกจากนี้การส่งออกสินค้าอื่นๆ และท่องเที่ยวก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นในรูปเงินบาททันที ทำให้รายได้ของชาติ (GDP) เพิ่มขึ้นโดยตรง รายได้เกษตรกรและรายได้ประชาชนจะเพิ่มขึ้น หนี้ครัวเรือนลดลง รัฐบาลก็ได้ภาษีเพิ่มขึ้น หนี้รัฐบาลลดลง เราจะเห็นผลชัดเจนใน 3 เดือน และในปีถัดไป เศรษฐกิจไทยก็จะสามารถเติบโตในอัตราที่สูงขึ้น เอกชนและเกษตรกร จะมีเงินมาเพิ่มเทคโนโลยีและสร้างสรรค์สินค้าใหม่ๆ
5.รัฐบาลควรรีบนำมาตรการนี้ไปใช้ รัฐบาลไม่สามารถใช้รายจ่ายรัฐบาลฟื้นเศรษฐกิจได้ครับ เพราะเงินที่รัฐบาลจะนำไปใช้จ่ายนั้น ต้องไปเก็บภาษีมาหรือไปกู้มา ทำให้เกิดการลดการใช้จ่ายประชาชน และลดการลงทุนเอกชน ทดแทนกันไปเรียกว่า Crowding out effect ครับ
หมายเหตุ : ก) จากสูตร e=P/Pw, e คือดัชนีค่าเงินบาท, P คือดัชนีราคาสินค้าของเรา และ Pw คือดัชนีราคาสินค้าของโลก : หากเงินเฟ้อเราต่ำกว่าเงินเฟ้อโลก เงินบาทก็จะแข็งค่าขึ้น
ข) เงินเฟ้อไทยต่ำกว่าเงินเฟ้อโลกมาก เพราะเราใช้นโยบายดอกเบี้ยที่แท้จริงสูงกว่าดอกเบี้ยที่แท้จริงของโลกมาก ทำให้ปริมาณเงินเราเพิ่มน้อยกว่าปริมาณเงินของแต่ละประเทศในโลก (ในที่นี้เศรษฐกิจโลก นับเฉพาะประเทศที่มีนโยบายเศรษฐกิจสมเหตุสมผล ไม่รวมประเทศที่มีเงินเฟ้อมากๆ เพราะพิมพ์เงินกระดาษมาใช้)
ค) เงินเฟ้อโลกประมาณ 3-4 % แต่เงินเฟ้อไทยต่ำกว่า 1% มานาน เงินบาท จึงแข็งกว่าค่าเงินของประเทศส่วนใหญ่ของโลกมานาน แข็งค่าจนเศรษฐไทยไม่เจริญเติบโต เพราะส่งออกได้น้อย ท่องเที่ยวได้รายได้ลดลง จึงมาลดการผลิต ลดการพัฒนาเทคโนโลยีและสินค้าใหม่ๆ ทำให้ประเทศดูไม่ค่อยมีอนาคต