"วัดพระบาทน้ำพุ" แถลงยันเลขบัตร ‘พระอลงกต’ ไม่ซ้ำ ‘อลงกต พลมุข’
"วัดพระบาทน้ำพุ" แถลงยันเลขบัตร ‘พระอลงกต’ ไม่ซ้ำ ‘อลงกต พลมุข’ ปมพร้อมเพย์ผู้เสียชีวิตยังรอตรวจสอบ
วันที่ 24 ส.ค. 68 ที่ วัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี มีการจัดแถลงข่าวใหญ่ต่อสื่อมวลชน โดยมีทั้งฝ่ายกฎหมายและผู้บริหารมูลนิธิเข้าร่วมชี้แจง หลังสังคมตั้งข้อสงสัยกรณีชื่อ “พระราชวิสุทธิประชานาถ” หรือ พระอลงกต พูลมุข เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ไปปรากฏซ้ำกับ “อลงกต พลมุข” ผู้เสียชีวิตรายหนึ่ง รวมถึงข้อถกเถียงเรื่องเลขบัตรประชาชนและการผูกบัญชีพร้อมเพย์
นายเฉลิมพล พลมุข ประธานมูลนิธิธรรมรักษ์ กล่าวยืนยันต่อหน้าสื่อมวลชนว่า การที่ชื่อของพระอลงกตไปตรงกับผู้เสียชีวิตรายหนึ่งนั้น “ไม่ใช่เรื่องแปลก” เพราะเป็นเพียงความบังเอิญที่ชื่อ-สกุลพ้องกัน แต่ยืนยันว่า เลขบัตรประชาชนไม่ตรงกัน และพระอลงกตไม่ได้มีความเกี่ยวพันใด ๆ กับบุคคลที่เสียชีวิต
“เรื่องนี้ต้องให้กรมการปกครองเป็นผู้ตรวจสอบ เพราะเลข 13 หลักระบุตัวบุคคลชัดเจน ต่างกันก็หมายความว่าเป็นคนละคน” นายเฉลิมพลกล่าว พร้อมระบุว่าประชาชนควรแยกให้ออกระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเชิงทะเบียนกับการทำงานของหลวงพ่อที่อุทิศตนช่วยเหลือสังคม
นายศุภชัย สิงคาลวานิช ทนายความประจำวัดและพระอลงกต ชี้แจงว่า เอกสารใบสุทธิที่เผยแพร่บนโลกออนไลน์ระบุชัดเจนว่า พระอลงกตมีนามสกุล “พูลมุข” ขณะที่บุคคลผู้เสียชีวิตใช้นามสกุล “พลมุข” และเลขประจำตัวประชาชนคนละชุดกันอย่างสิ้นเชิง
ส่วนกรณีหมายเลขพร้อมเพย์ที่ถูกผูกเข้ากับชื่อผู้เสียชีวิตนั้น ยอมรับว่ายังไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียด แต่จะเร่งหาข้อมูลจากธนาคารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อมาชี้แจงในโอกาสถัดไป
ทนายศุภชัย ยังอธิบายถึงกรณี “เด็กชายใจแก้ว” ที่สื่อบางแห่งตั้งข้อสงสัยว่าเป็นลูกของพระอลงกต โดยยืนยันว่า เด็กชายรายนี้เกิดจากมารดาที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ถูกล่วงละเมิดจนตั้งครรภ์และติดเชื้อ HIV หลังคลอดได้ 7 เดือนก็มารดาเสียชีวิต เด็กจึงได้รับการเลี้ยงดูโดย “วรสุดา” ลูกศิษย์ใกล้ชิด หลวงพ่อเพียงถูกเด็กเรียกว่า “ป๊ะป๋า” ทำให้สังคมเข้าใจผิด
“หลวงพ่อไม่เคยมีครอบครัว ไม่เคยมีบุตร เรื่องนี้ต้องชี้แจงให้กระจ่าง เพราะกระทบต่อภาพลักษณ์ของท่าน” ทนาย กล่าวย้ำ
ข้อมูลจากทนายและกรรมการมูลนิธิ ระบุว่า พระอลงกตเริ่มทำงานช่วยเหลือผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS ตั้งแต่ปี 2534 ต่อมาในปี 2537 ได้ก่อตั้ง มูลนิธิธรรมรักษ์ เพื่อขยายงานดูแลผู้ป่วยอย่างจริงจัง ก่อนที่จะมีการตั้งมูลนิธิเพิ่มเติม เช่น มูลนิธิเจ้าคุณอลงกต (2550), มูลนิธิพุทธสถานลพบุรีศรีสุวรรณภูมิ (2559), มูลนิธิอาทรประชานาถ (2562) และมูลนิธินาถะ (2567)
พ.อ.ประชุม สุขสำราญ ประธานมูลนิธิพุทธสถานฯ เปิดเผยว่า ปัจจุบันวัดดูแลผู้ป่วยราว 140 ราย กว่าครึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียง ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ทั้งยา อาหาร และอุปกรณ์การแพทย์ ขณะที่ผู้ป่วยอีกบางส่วนสามารถออกมาช่วยทำงานในวัดและพื้นที่ใกล้เคียงได้
“ทุกวันอาทิตย์ วัดมีค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 2 แสนบาท เพื่อเลี้ยงดูและรักษาผู้ป่วยเหล่านี้ เงินบริจาคทุกบาทจึงมีความหมาย” พ.อ.ประชุม กล่าว พร้อมย้ำว่าหลวงพ่ออลงกตไม่เคยนำเงินบริจาคมาใช้เพื่อตนเอง แต่ทั้งหมดถูกนำไปใช้เพื่อผู้ป่วยและกิจกรรมสาธารณกุศล
กรณีการครอบครองที่ดินจำนวนหลายร้อยไร่ นายประชุมอธิบายว่า ที่ดินส่วนใหญ่เริ่มจากบุคคลภายนอกถือครอง ก่อนทยอยโอนเข้ามาในนามของมูลนิธิ โดยขณะนี้กว่า 80–90% ถูกโอนเสร็จสิ้นแล้ว และที่เหลืออยู่ในขั้นตอนดำเนินการ
ด้าน นายเฉลิมพล ย้ำว่า ที่ดินหนองม่วงมีพื้นที่จริงประมาณ 800–900 ไร่ ใช้สร้างสำนักงานมูลนิธิ โรงเรียน บ้านพักผู้สูงอายุ และศูนย์สงเคราะห์ต่าง ๆ ไม่ใช่ที่ดินส่วนตัวของใคร แต่เป็นทรัพย์สินเพื่อสาธารณะประโยชน์ทั้งหมด
ท้ายที่สุด นายศุภชัย ทนายความ ย้ำว่า ทุกข้อสงสัยสามารถตรวจสอบได้ตามกฎหมาย และวัดพร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่ “เรายอมรับว่าอาจมีข้อบกพร่องบางประการด้านเอกสารหรือขั้นตอน แต่ไม่เคยมีการเบียดบังเงินบริจาค ทุกบาททุกสตางค์ถูกนำไปใช้ในงานสังคมสงเคราะห์จริง”
ขณะเดียวกันก็กราบขออภัยต่อสังคม หากที่ผ่านมาอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือรู้สึกคลางแคลง พร้อมยืนยันว่าพระอลงกตยังคงอุทิศตนเพื่อผู้ป่วยและผู้ด้อยโอกาสต่อไป