แม้ยอดผลิตยังวิกฤต แต่ยอดขาย EV แซงรถน้ำมัน! ‘สอท.’ เตือนอย่าประมาท ‘เงินดอง’ เวียดนาม กระทบส่งออกไทย
ยอดผลิตรถยนต์เดือน ก.ค. 68 ร่วงต่อเนื่อง 11.39% เพราะเลิกผลิตบางรุ่น ชี้ยอดขายรถกระบะยังคงเป็นปัญหา 30 เดือนติด สวนทางยอดขายรถ EV เพราะทำราคาดีกว่า “ส.อ.ท.” เตือนภาคส่งออก แม้ภาษีทรัมป์เคาะไทย 19% แต่อาจเสียเปรียบเวียดนามที่ 20% หลังเงินดองเวียดนามอ่อนค่ากว่า
สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนกรกฎาคม 2568 มีทั้งสิ้น 110,616 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 15.06% และลดลงจากเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว 11.39%
“การผลิตลดลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันซึ่งลดลง 31.80% จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งเพื่อส่งออกบางรุ่น รถกระบะยังคงผลิตลดลงทั้งผลิตขายในประเทศและผลิตส่งออกที่ลดลง 6.54% และ 8.61% ตามยอดขายในประเทศและยอดส่งออก ที่ลดลงจากความไม่แน่นอนในการค้าโลก”
ส่วนยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนกรกฎาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 49,102 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 1.95% แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว 5.84% เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 เดือน
เพราะยอดขายรถยนต์นั่งโดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาเข้าถึงได้มากกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน สวนทางรถกระบะยังคงขายลดลงต่อเนื่องมากว่า 30 เดือน เหลือแค่ 11,022 คัน ลดลง 16.3% ( ปี 2562 ก่อนโควิด 19 รถกระบะขายในประเทศเฉลี่ยเดือนละ 35,973 คัน เท่ากับ 35.70% ของยอดขายรวม 1,007,552 คัน)
ทั้งนี้ เพราะความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อรถกระบะจากหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงและเศรษฐกิจในประเทศที่ยังขยายตัวในอัตราต่ำ 2.8% ในไตรมาส 2/2568 การลงทุนของเอกชนเติบโตแค่ 4.1% สาขาอุตสาหกรรมเติบโตแค่ 1.7%
บวกกับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนลดลงมาก ทำให้สาขาพักแรมและอาหารเติบโตเพียง 2.1% คงต้องติดตามการลงทุนของเอกชน การท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนต่อไป คาดหวังงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตมากขึ้นจากปัจจุบัน
คาดภาพรวมตลาดรถยนต์ไทยปี 68 ‘ทรงตัว’
สุรพงษ์ ระบุว่า กรณีที่ กนง.ที่มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงช่วยให้ผู้กู้ลดภาระจ่ายดอกเบี้ยลง ทำให้ชำระคืนเงินกู้ได้มากขึ้น หนี้ครัวเรือนจะได้ลดลง และขอบคุณทีมไทยแลนด์ที่เจรจากับทีมงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จนได้อัตราภาษีศุลกากรนำเข้าสหรัฐอเมริกา 19%
โดยคาดว่าน่าจะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและในประเทศได้มากขึ้นเพื่อส่งออกและสร้างงานสร้างรายได้ให้คนไทยมากขึ้น หนี้ครัวเรือนจะได้ลดลงจากการชำระหนี้ ไม่ใช่ลดลงเพราะสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อซึ่งลดลงมาหลายไตรมาสแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ภาษีทรัมป์ของไทยที่ 19% ดูจะเสียเปรียบเวียดนามที่ 20% เมื่อเงินดองเวียดนามอ่อนค่ามาก จึงไม่ควรประมาท
“ภาพรวมตลาดรถยนต์ไทยในช่วงที่เหลือของปี มองว่า น่าจะเหมือนช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ไม่ทรุดไปมากกว่านี้ เนื่องจากบอร์ด BOI ก็ได้มีการเสนอเรื่องสิทธิประโยชน์การลงทุนต่าง ๆ ส่วนเรื่องอัตราภาษีสหรัฐฯ ของไทยที่อยู่ที่ 19% ก็ถือว่าพอสู้กับคู่แข่งได้ และคาดว่าน่าจะทำให้ส่งออกของไทยและประเทศคู่ค้าดีขึ้น รวมถึงรัฐบาลประกาศว่าจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปีนี้ รวมถึงจับตาคู่ค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ“
ขณะที่การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนกรกฎาคม 2568 ส่งออกได้ 72,439 คัน ลดลงจากเดือนที่แล้ว 17.76% และลดลงจากเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว 13.27% จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งใช้น้ำมันบางรุ่นเพราะจะเปลี่ยนรุ่นรถ โดยล่าสุด รถยนต์นั่งและรถกระบะไฟฟ้ายังส่งออกอีกในเดือนนี้ 167 คัน
“ปีนี้จึงเป็นปีประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่ส่งออกรถยนต์นั่งไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้า ดังที่รัฐบาลและเอกชนร่วมมือกันให้ประเทศไทยเป็นฐานผลิต ยานยนต์ใช้น้ำมันและยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อส่งออก ไปยังประเทศคู่ค้าที่มีนโยบายและความพร้อมของโครงสร้างแตกต่างกัน ยืนยันว่าไทยยังเป็นดีทรอยด์ท็อป 10 ของโลก”
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนและการเข้มงวดในเรื่องการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยขับเพื่อความปลอดภัยในรถยนต์และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพของรถยนต์ของประเทศคู่ค้า ทำให้การส่งออกรถยนต์เดือนนี้ลดลงในตลาดเอเชีย ออสเตรเลียและโอเชียเนีย และอเมริกาเหนือ เครื่องยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถยนต์ยังคงส่งออกเพิ่มขึ้น
สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนกรกฎาคม 2568 จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 12,124 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว 45.51% ยอดจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 รวมทั้งสิ้น 307,428 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 60.61%
ภาพ:gorodenkoff , Getty Images