คดีคลิปเสียงแพทองธาร–ฮุนเซน ย้อนที่มา กฎหมาย และเส้นทางสู่ศาลรัฐธรรมนูญ
ย้อนที่มาของคดีคลิปเสียง
เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มขึ้นเมื่อกลางปี 2568 เมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาความยาวประมาณ 17 นาที ระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย และสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา คลิปดังกล่าวถูกเปิดเผยโดยฝ่ายกัมพูชา ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียของฮุนเซนเอง
ในคลิปมีเนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือด้านความสงบชายแดนไทย–กัมพูชา โดยช่วงหนึ่ง นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวถ้อยคำที่ถูกตีความว่าอาจอ่อนข้อให้กัมพูชา เช่น ประโยคที่ว่า “ถ้าอังเคิลอยากได้อะไร หลานจะดำเนินการให้” ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคมไทย
ภายหลังการเผยแพร่ คลิปนี้ถูกใช้เป็นหลักฐานโดยสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 36 คน ที่ยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภา เพื่อส่งเรื่องต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ให้ตรวจสอบคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีว่าเข้าข่ายกระทำผิดจริยธรรมร้ายแรง หรือกระทบต่ออำนาจอธิปไตยของประเทศหรือไม่
สาระสำคัญทางข้อกฎหมาย
การพิจารณาคดีนี้อ้างอิงถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 โดยมีมาตราหลักที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้ ได้แก่
- มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต้องไม่กระทำการอันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน
- มาตรา 160 (4) และ (5) ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต และไม่กระทำการที่เป็นการขัดต่อจริยธรรมร้ายแรง
- มาตรา 82 วรรคสาม เปิดทางให้สมาชิกรัฐสภาไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนทั้งหมดของสมาชิกวุฒิสภา เข้าชื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาสถานภาพของรัฐมนตรี
ในแง่มิติระหว่างประเทศ นักกฎหมายยังชี้ว่าการเจรจาแม้จะเป็นการส่วนตัว แต่หากเกิดจากผู้นำประเทศ ก็อาจมีน้ำหนักทางกฎหมายระหว่างประเทศตาม อนุสัญญากรุงเวียนนา ว่าด้วยสนธิสัญญา ปี 1969 ซึ่งกำหนดให้การแสดงเจตนาของผู้นำรัฐมีผลในระดับความสัมพันธ์ทางการทูต
เส้นทางสู่ศาลรัฐธรรมนูญ
ภายหลังรับคำร้อง ศาลรัฐธรรมนูญได้ดำเนินกระบวนการพิจารณาตามลำดับขั้นตอน
รับคำร้องและตรวจสอบเบื้องต้น
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ามีมูลพอสมควร จึงรับคำร้องเพื่อเข้าสู่การพิจารณาอย่างเป็นทางการ
การไต่สวนพยานและพยานเอกสาร
ศาลได้เรียกพยานบุคคลทั้งฝ่ายผู้ร้องและฝ่ายผู้ถูกร้อง แต่ดำเนินการในลักษณะลับ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การยื่นคำแถลงปิดคดี
ทั้งสองฝ่ายได้รับโอกาสให้ยื่นแถลงการณ์ปิดคดีภายในวันที่ 25 สิงหาคม 2568 เพื่อสรุปข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ต้องการยืนยันต่อศาล
การวินิจฉัย
ศาลได้นัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 โดยคำตัดสินจะเป็นตัวชี้ขาดว่า นายกรัฐมนตรีจะยังดำรงตำแหน่งต่อไป หรือสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีทันที
ประเด็นชี้ขาดของศาล
ศาลรัฐธรรมนูญต้องตอบคำถามสำคัญว่า
- ถ้อยคำที่ปรากฏในคลิปเป็นเพียงเทคนิคการทูตเพื่อสร้างบรรยากาศ หรือเป็นการยอมอ่อนข้อจนกระทบต่ออธิปไตย
- การเจรจาดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ขัดต่อจริยธรรมร้ายแรงของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่
- หากศาลเห็นว่าการกระทำเป็นความผิด นายกรัฐมนตรีจะสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญทันที
คดีคลิปเสียงแพทองธาร–ฮุนเซน ไม่ได้เป็นเพียงข้อถกเถียงทางการเมือง แต่ยังสะท้อนความละเอียดอ่อนของการตีความกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เชื่อมโยงกับเวทีการทูตระหว่างประเทศ ขณะเดียวกัน กระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญก็กลายเป็นกลไกสำคัญที่สังคมจับตามองว่าจะสามารถรักษาสมดุลระหว่างหลักนิติธรรม อธิปไตย และความมั่นคงได้อย่างไร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ‘หมอมิ้ง’ ย้ำส่งคำแถลงปิดคดีคลิปเสียงวันนี้ ยังไม่ฟันธง ‘อิ๊งค์’ ร่วมฟังคำวินิจฉัย
- เก้าอี้นายกฯ บนเส้นทางไม่แน่นอน ศาลรัฐธรรมนูญจะเขียนฉากทัศน์แบบไหน
- สรุปกระบวนการศาลรธน. ไต่สวน “แพทองธาร” กรณีคลิปเสียงสนทนาสมเด็จฮุนเซ็น
- ศาล รธน.ปิดไต่สวนแพทองธาร เลื่อนยื่นปิดคดี 25 ส.ค. นัดอ่านคำวินิจฉัย 29 ส.ค.
- ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวน “แพทองธาร” ปมคลิปเสียง ฮุน เซน นัดชี้ชะตา 29 ส.ค.