โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

เปิดแนวคิด “ปิ่นสาย” อธิบดีกรมสรรพากร เก็บภาษีลด “ความเหลื่อมล้ำ”

อีจัน

อัพเดต 13 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 20 ชั่วโมงที่ผ่านมา • อีจัน

เศรษฐกิจไทยภายใต้ปีงบประมาณ 2568 ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย. นี้ ต้องยอมรับว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปี มีหลายประเด็นที่ต้องติดตาม เริ่มตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ประชาชนออกอาการผิดหวังจากนโยบายแจกเงินหมื่นของรัฐบาล แต่เดิมที่จะแจกให้กับกลุ่มคน ตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป สุดท้าย รัฐบาลตัดสินใจแจกเงินหมื่นให้เฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปเท่านั้น ทำให้คนจำนวนมากกว่า 10 ล้านคน ที่มั่นใจว่า รัฐบาลจะแจกเงินต้องรู้สึกผิดหวังกับโครงการดิจิทัล วอลเล็ต

ขณะที่ ภาคการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบไม่แตกต่างกัน จากเหตุการณ์ดาราจีน “หวัง ซิง หรือ ซิงซิง” ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกไปทำงานที่ประเทศเมียนมา โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านนั้น ทำให้นักท่องเที่ยวจีน รู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อมาท่องเที่ยวประเทศไทย ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เคยมาเที่ยวไทยพีคที่สุดเกือบ 11 ล้านคน หายไปเกินครึ่งเหลือไม่ถึง 5 ล้านในช่วงที่ผ่านมา ซ้ำเติมด้วยเหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วงปลายเดือนมี.ค. ยิ่งทำให้ภาคการท่องเที่ยวซึมตัวลงไปอีก

นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร

ส่วนการเมืองภายในประเทศก็ยังได้ตอกย้ำถึงความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะกรณีคลิปเสียงบทสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 29 ส.ค. ที่จะถึงนี้ ล้วนแต่ทำลายความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยในสายตาของนักลงทุน เมื่อบวกรวมกับมาตรการกีดกันภาษีของประธานาธิบดี “ทรัมป์” ยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทย ขณะนี้อยู่ภายใต้ความไม่แน่นอน

“ทีมเศรษฐกิจอีจัน” จึงถือโอกาสสัมภาษณ์ “นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร” อธิบดีป้ายแดง ที่เพิ่งรับตำแหน่งเมื่อเดือนต.ค. 2567 ที่ผ่านมานั้น ยอมรับว่า ปีนี้ เป็นปีแห่งความท้าทาย และต้องพยายามทำให้ดีที่สุด ในฐานะลูกหม้อกรมสรรพากร

เศรษฐกิจไทยพลาดเป้า

จากเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณปี 2568 ยอมรับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก โดยได้รับเป้าหมาย 2.37 ล้านล้านบาท ภายใต้สมมติฐานจากดัชนีชี้วัดต่าง ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัว 3.6% อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.25% เป็นต้น

แต่ในความเป็นจริง ดัชนีดังกล่าวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ ผ่านมาแล้ว 10 เดือนของปี 2568 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ (สศช.) คาดว่าจีดีพีไทยปีนี้ จะขยายตัวได้ 1.8-2.3% (ค่ากลาง 2%) อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.5%

ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร 10 เดือน (ต.ค.67 – ก.ค.68) จัดเก็บได้ 1.438 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 1 หมื่นล้านบาท หากแยกออกมาจะพบว่า การจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร เกินกว่าเป้าหมาย 12,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากการบริโภคภายในประเทศที่ดีขึ้น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และอื่น ๆ

ส่วนการจัดเก็บภาษีที่ต่ำกว่าเป้าหมายจริง ๆ คือ ภาษีที่หน่วยงานอื่นจัดเก็บแทน โดยเก็บได้ต่ำกว่าเป้าประมาณ 24,000 ล้านบาท ทำให้ภาพรวมของการจัดเก็บรายได้ช่วง 10 เดือนต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อยประมาณ 11,000 ล้านบาท ซึ่งช่วงที่เหลืออีก 2 เดือนนี้ ในฐานะอธิบดีกรมสรรพากร “จะพยายามทำให้ดีที่สุด”

“ในฐานะที่เป็นลูกหม้อของกรมสรรพากร เรารู้ถึงพฤติกรรมผู้เสียภาษีว่า มีประเด็นไหนที่จะต้องติดตาม หรือตรวจสอบเพิ่มเติม แต่ไม่ได้หมายความว่าเรารีดภาษีกับประชาชน แต่เป็นการพยายามทำให้ถูกต้อง และสอดคล้องกับความเป็นจริง ผมมีนโยบายว่าผู้เสียภาษี ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดา ต้องกรอกเอกสารง่ายที่สุด สะดวก ปัจจุบัน และเป็นธรรม”

อีวี-อสังหาฯ กดรายได้วูบ

ดังนั้น การเข้าใจและติดตามผู้เสียภาษีจึงมีความสำคัญต่อการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร โดยพิจารณาจากกองบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ (LTO) ซึ่งดูแลธุรกิจขนาดใหญ่ถึง 51 กิจการ พบว่ามีผู้เสียภาษีที่ยังคงอยู่ได้ และประสบกับปัญหาภาวะเศรษฐกิจ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ ขณะนี้ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) สูงขึ้น ทำให้เกิดผลกระทบ 4 ด้าน

คือ 1.รถยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมันยอดขายตกลง 2.ส่งผลให้ปริมาณการใช้น้ำมันลดลง ทำให้ยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มลดลง ซึ่งเป็นผลพวงมาจากนโยบายการสนับสนุนและส่งเสริมการใช้รถอีวีของรัฐบาล 3.ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ทรุดตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากประชาชนมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น แต่รายได้ลดลง

และ 4.อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ได้รับผลกระทบจากการชะลอการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากสถาบันการเงินมีความกังวลต่อหนี้ที่ไม่เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ทำให้การจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะที่มาจากการโอนขายที่ดินลดลงตามไปด้วย โดยจัดเก็บรายได้เหลือ 70,000 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่หลักแสนล้านบาท

ขณะเดียวกัน ยอมรับว่ามีธุรกิจที่มีรายได้เพิ่มและยังไปได้คือ “ธุรกิจสถาบันการเงิน” สะท้อนช่วงครึ่งแรกปี 2568 (ม.ค.-พ.ค.) กำไรสุทธิกว่า 120,000 ล้านบาท

ดังนั้น กรมสรรพากรต้องทำใน 2 เรื่องพร้อม ๆ กัน คือ 1.การส่งเจ้าหน้าที่ไปติดตามผู้เสียภาษีจากฐานข้อมูลที่เรามีอยู่ และ 2.เข้มงวดกับผู้เสียภาษีที่เสียภาษีไม่ถูกต้อง เพื่อทำให้การจัดเก็บรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

มาตรการภาษีลดความเหลื่อมล้ำ

นอกจากนี้ กรมสรรพากร ยังมีมาตรการช่วยเหลือสังคม และลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อให้ผู้เสียภาษีที่มีรายได้มากจะเสียภาษีมาก ขณะที่คนมีรายได้น้อยจะเสียภาษีน้อย หรือไม่เสียภาษีเลย จากฐานข้อมูลจำนวนประชากรไทย 66 ล้านคน พบว่าอยู่ในวัยทำงาน จำนวน 30 ล้านคน ในจำนวนนี้ยังพบกลุ่มที่ยกเว้นการเสียภาษี เช่น พระสงฆ์ อาชีพเกษตรกร และหาบเร่แผงลอย ตัดออกไป จำนวน 15 ล้านคน เหลือตัวเลขจริงที่ต้องยื่นแบบภาษีเพียง 12 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่เสียภาษีให้กับรัฐบาลโดยไม่ได้ขอคืนภาษีเพียง 4 ล้านคน เท่านั้น

“พิจารณาจากตัวเลขพบว่าคนที่เสียภาษีจริงในระบบมีเพียง 4 ล้านคน ถือว่าเป็นประชากรส่วนน้อยของประเทศ เพราะการออกแบบการเสียภาษีแบบอัตราก้าวหน้าบวกค่าลดหย่อนต่าง ๆ เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ผ่อนบ้าน และการดูแลบุพการี เป็นเครื่องมือที่รัฐบาลออกแบบเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การจัดเก็บรายได้เพียงอย่างเดียว เพราะมีมาตรการยกเว้น หรือลดหย่อนภาษีให้จำนวนมาก”

ขณะเดียวกัน กรมสรรพากร ยังมีการผ่อนคลายให้กับผู้เสียภาษีอย่างต่อเนื่อง โดยในแต่ละปีมีการออกมาตรการที่ต่อเนื่องกว่า 30 มาตรการ เช่น การลดหย่อนภาษี การหักภาษี ณ ที่จ่าย และมาตรการอื่น ๆ ที่เป็นนโยบายของรัฐบาล เช่น การปรับเปลี่ยนการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) มาเป็นกองทุน Thai ESG หรือกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแทน คาดว่ารายได้ของกรมสรรพากรจะหายไป 40,000 ล้านบาท แต่ผลปรากฎว่ามีนักลงทุนเปลี่ยนการลงทุนเพียงเล็กน้อย ทำให้สูญเสียรายได้จริงประมาณ 1,000 ล้านบาท

ดึง AI เก็บรายได้เพิ่ม

ในอดีตกรมสรรพากรมีความคิดว่า จากนำปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) มาทำหน้าที่แทนมนุษย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่ได้มองว่า เอไอจะเข้ามาช่วยจัดเก็บภาษี แต่มองว่า เอไอมาเป็นส่วนช่วยในการสนับสนุนการทำงานของกรมสรรพากร คาดว่าจะดำเนินการภายในปี 2570 โดยนำเทคโนโลยีเอไอมาช่วยใน 4 ด้าน ดังนี้

1.ช่วยจัดเก็บภาษีรายได้บุคคลธรรมดา โดยใช้เอไอมาวิเคราะห์ตรวจจับข้อมูลของบุคคลที่ยื่นภาษี เช่น การตรวจการคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ใช้เอไอช่วยตรวจสอบความแม่นยำของข้อมูล เพื่อป้องกันการยื่นข้อมูลเท็จ

2.อารีย์แชทบอท คือแชทบอทเพื่อช่วยตอบคำถามและข้อสงสัย 3.การใช้เทคโนโลยีเอไอมาตรวจสอบเอกสารทั้งจากรูปแบบกระดาษ และอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อจัดเรียกข้อมูลได้ง่ายขึ้นร่นระยะเวลาการทำงานของให้เร็วขึ้น จากที่ใช้ระยะเวลา 6 เดือน หากนำเอไอมาใช้งานจะช่วยทำเสร็จภายใน 3-4 วัน

และ 4.ใช้กับระบบเทรนนิ่งงานบุคคล เนื่องจากสรรพากรมีสมุห์อำเภอจำนวน 850 แห่ง จะมีการจัดสัมมนา 3-6 เดือน แต่เมื่อมีการวางระบบใหม่ โดยใช้เอไอมาช่วยวางระบบที่เป็นแบบแผนเหมือนกันทั้งระบบจะช่วยให้การทำงานดีขึ้น และเป็นระบบมากขึ้น

“การนำเทคโนโลยีเอไอมาใช้ในการทำงานควบคู่ไปกับการทำงานของมนุษย์ จะสนับสนุนให้การทำงานของกรมสรรพากรดีขึ้น ทั้งด้านคุณภาพให้เกิดประโยชน์ครบถ้วนที่มีการวิเคราะห์ข้อมูลแม่นยำ และถูกต้อง ทั้งหมดนี้ถือเป็นงานที่จะเข้ามาช่วยในการจัดเก็บรายได้ของสรรพากรด้วยเช่นกัน”

ดังนั้น การจัดรายได้ของกรมสรรพากรในปีงบประมาณนี้ จะพยายามทำให้ดีที่สุด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อีก 2 เดือนจะสิ้นปีงบประมาณ 2568 (วันที่ 30 ก.ย.68) แม้ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน จะไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ก็ตาม แต่เราก็เชื่อมั่นว่า จะสามารถจัดเก็บรายได้ให้เข้าใกล้เป้าหมายมากที่สุดและเป็นธรรมกับผู้เสียภาษีทุกราย

“ทีมเศรษฐกิจ อีจัน”

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก อีจัน

ได้วันแล้ว! 18 ก.ย.นี้ จับสลาก “บ้านเพื่อคนไทย” 1.3 หมื่นยูนิต

22 ชั่วโมงที่ผ่านมา

“สรวงศ์” เตรียมชง ครม. ของบ 4,000 ล้าน จัดทูมอโรว์แลนด์ ปี 69-73

22 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

เงินบาทเช้านี้ 25 ส.ค. 2568 เปิดตลาด “แข็งค่าขึ้นมาก” ที่ระดับ 32.43 บาท/ดอลลาร์

TNN ช่อง16

จีนทุ่มงบอนุรักษ์ “ต้นไม้โบราณ” ทั่วประเทศ ยกเป็น “โบราณวัตถุที่มีชีวิต”

เดลินิวส์

คนไทยรัดเข็มขัด ใช้จ่าย "บัตรเครดิต" ชะลอตัว หันไปแบ่งจ่าย-ผ่อนชำระมากขึ้น

TNN ช่อง16

ราคาทองล่าสุด “แม่ทองสุก" คาดสัปดาห์นี้แนวต้านที่ 52,350 บาท

ฐานเศรษฐกิจ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้25ส.ค“แข็งค่าขึ้นมาก”ที่ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์

ฐานเศรษฐกิจ

หมดยุคงานหนัก "เกาหลีใต้" (ทดลอง) ลดชั่วโมงทำงาน เหลือแค่ 4 วันครึ่งต่อสัปดาห์

TNN ช่อง16

สรุป "โบรกเกอร์มาร์เก็ตแชร์" 10 อันดับสูงสุดประจำวันที่ 22 ส.ค.68

สยามรัฐ

กระแสซื้อก่อน ผ่อนทีหลัง สะดวกคนรุ่นใหม่ หรือกับดักหนี้ก้อนโต?

BT Beartai

ข่าวและบทความยอดนิยม

เศรษฐกิจปี’68 ซึมๆ! ศูนย์วิจัยกรุงไทย-กรุงศรี คาดจีดีพีโต 2-2.1%

อีจัน

“สรรพากร” ยกเลิกใบอนุโมทนาบัตร ชี้ ปี 69 ทุกวัด – มูลนิธิ ต้องใช้ e-Donation เท่านั้น

อีจัน

สรรพากร ทำหนังสือถึงสำนักพุทธฯ ทำบุญวัด ต้องสแกนผ่าน e-Donation ถึงจะได้ลดหย่อนภาษี

อีจัน
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...