เปิดแนวคิด “ปิ่นสาย” อธิบดีกรมสรรพากร เก็บภาษีลด “ความเหลื่อมล้ำ”
เศรษฐกิจไทยภายใต้ปีงบประมาณ 2568 ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย. นี้ ต้องยอมรับว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปี มีหลายประเด็นที่ต้องติดตาม เริ่มตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ประชาชนออกอาการผิดหวังจากนโยบายแจกเงินหมื่นของรัฐบาล แต่เดิมที่จะแจกให้กับกลุ่มคน ตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป สุดท้าย รัฐบาลตัดสินใจแจกเงินหมื่นให้เฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปเท่านั้น ทำให้คนจำนวนมากกว่า 10 ล้านคน ที่มั่นใจว่า รัฐบาลจะแจกเงินต้องรู้สึกผิดหวังกับโครงการดิจิทัล วอลเล็ต
ขณะที่ ภาคการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบไม่แตกต่างกัน จากเหตุการณ์ดาราจีน “หวัง ซิง หรือ ซิงซิง” ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกไปทำงานที่ประเทศเมียนมา โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านนั้น ทำให้นักท่องเที่ยวจีน รู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อมาท่องเที่ยวประเทศไทย ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เคยมาเที่ยวไทยพีคที่สุดเกือบ 11 ล้านคน หายไปเกินครึ่งเหลือไม่ถึง 5 ล้านในช่วงที่ผ่านมา ซ้ำเติมด้วยเหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วงปลายเดือนมี.ค. ยิ่งทำให้ภาคการท่องเที่ยวซึมตัวลงไปอีก
ส่วนการเมืองภายในประเทศก็ยังได้ตอกย้ำถึงความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะกรณีคลิปเสียงบทสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 29 ส.ค. ที่จะถึงนี้ ล้วนแต่ทำลายความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยในสายตาของนักลงทุน เมื่อบวกรวมกับมาตรการกีดกันภาษีของประธานาธิบดี “ทรัมป์” ยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทย ขณะนี้อยู่ภายใต้ความไม่แน่นอน
“ทีมเศรษฐกิจอีจัน” จึงถือโอกาสสัมภาษณ์ “นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร” อธิบดีป้ายแดง ที่เพิ่งรับตำแหน่งเมื่อเดือนต.ค. 2567 ที่ผ่านมานั้น ยอมรับว่า ปีนี้ เป็นปีแห่งความท้าทาย และต้องพยายามทำให้ดีที่สุด ในฐานะลูกหม้อกรมสรรพากร
เศรษฐกิจไทยพลาดเป้า
จากเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณปี 2568 ยอมรับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก โดยได้รับเป้าหมาย 2.37 ล้านล้านบาท ภายใต้สมมติฐานจากดัชนีชี้วัดต่าง ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัว 3.6% อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.25% เป็นต้น
แต่ในความเป็นจริง ดัชนีดังกล่าวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ ผ่านมาแล้ว 10 เดือนของปี 2568 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ (สศช.) คาดว่าจีดีพีไทยปีนี้ จะขยายตัวได้ 1.8-2.3% (ค่ากลาง 2%) อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.5%
ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร 10 เดือน (ต.ค.67 – ก.ค.68) จัดเก็บได้ 1.438 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 1 หมื่นล้านบาท หากแยกออกมาจะพบว่า การจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร เกินกว่าเป้าหมาย 12,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากการบริโภคภายในประเทศที่ดีขึ้น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และอื่น ๆ
ส่วนการจัดเก็บภาษีที่ต่ำกว่าเป้าหมายจริง ๆ คือ ภาษีที่หน่วยงานอื่นจัดเก็บแทน โดยเก็บได้ต่ำกว่าเป้าประมาณ 24,000 ล้านบาท ทำให้ภาพรวมของการจัดเก็บรายได้ช่วง 10 เดือนต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อยประมาณ 11,000 ล้านบาท ซึ่งช่วงที่เหลืออีก 2 เดือนนี้ ในฐานะอธิบดีกรมสรรพากร “จะพยายามทำให้ดีที่สุด”
“ในฐานะที่เป็นลูกหม้อของกรมสรรพากร เรารู้ถึงพฤติกรรมผู้เสียภาษีว่า มีประเด็นไหนที่จะต้องติดตาม หรือตรวจสอบเพิ่มเติม แต่ไม่ได้หมายความว่าเรารีดภาษีกับประชาชน แต่เป็นการพยายามทำให้ถูกต้อง และสอดคล้องกับความเป็นจริง ผมมีนโยบายว่าผู้เสียภาษี ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดา ต้องกรอกเอกสารง่ายที่สุด สะดวก ปัจจุบัน และเป็นธรรม”
อีวี-อสังหาฯ กดรายได้วูบ
ดังนั้น การเข้าใจและติดตามผู้เสียภาษีจึงมีความสำคัญต่อการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร โดยพิจารณาจากกองบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ (LTO) ซึ่งดูแลธุรกิจขนาดใหญ่ถึง 51 กิจการ พบว่ามีผู้เสียภาษีที่ยังคงอยู่ได้ และประสบกับปัญหาภาวะเศรษฐกิจ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ ขณะนี้ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) สูงขึ้น ทำให้เกิดผลกระทบ 4 ด้าน
คือ 1.รถยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมันยอดขายตกลง 2.ส่งผลให้ปริมาณการใช้น้ำมันลดลง ทำให้ยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มลดลง ซึ่งเป็นผลพวงมาจากนโยบายการสนับสนุนและส่งเสริมการใช้รถอีวีของรัฐบาล 3.ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ทรุดตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากประชาชนมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น แต่รายได้ลดลง
และ 4.อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ได้รับผลกระทบจากการชะลอการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากสถาบันการเงินมีความกังวลต่อหนี้ที่ไม่เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ทำให้การจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะที่มาจากการโอนขายที่ดินลดลงตามไปด้วย โดยจัดเก็บรายได้เหลือ 70,000 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่หลักแสนล้านบาท
ขณะเดียวกัน ยอมรับว่ามีธุรกิจที่มีรายได้เพิ่มและยังไปได้คือ “ธุรกิจสถาบันการเงิน” สะท้อนช่วงครึ่งแรกปี 2568 (ม.ค.-พ.ค.) กำไรสุทธิกว่า 120,000 ล้านบาท
ดังนั้น กรมสรรพากรต้องทำใน 2 เรื่องพร้อม ๆ กัน คือ 1.การส่งเจ้าหน้าที่ไปติดตามผู้เสียภาษีจากฐานข้อมูลที่เรามีอยู่ และ 2.เข้มงวดกับผู้เสียภาษีที่เสียภาษีไม่ถูกต้อง เพื่อทำให้การจัดเก็บรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
มาตรการภาษีลดความเหลื่อมล้ำ
นอกจากนี้ กรมสรรพากร ยังมีมาตรการช่วยเหลือสังคม และลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อให้ผู้เสียภาษีที่มีรายได้มากจะเสียภาษีมาก ขณะที่คนมีรายได้น้อยจะเสียภาษีน้อย หรือไม่เสียภาษีเลย จากฐานข้อมูลจำนวนประชากรไทย 66 ล้านคน พบว่าอยู่ในวัยทำงาน จำนวน 30 ล้านคน ในจำนวนนี้ยังพบกลุ่มที่ยกเว้นการเสียภาษี เช่น พระสงฆ์ อาชีพเกษตรกร และหาบเร่แผงลอย ตัดออกไป จำนวน 15 ล้านคน เหลือตัวเลขจริงที่ต้องยื่นแบบภาษีเพียง 12 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่เสียภาษีให้กับรัฐบาลโดยไม่ได้ขอคืนภาษีเพียง 4 ล้านคน เท่านั้น
“พิจารณาจากตัวเลขพบว่าคนที่เสียภาษีจริงในระบบมีเพียง 4 ล้านคน ถือว่าเป็นประชากรส่วนน้อยของประเทศ เพราะการออกแบบการเสียภาษีแบบอัตราก้าวหน้าบวกค่าลดหย่อนต่าง ๆ เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ผ่อนบ้าน และการดูแลบุพการี เป็นเครื่องมือที่รัฐบาลออกแบบเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การจัดเก็บรายได้เพียงอย่างเดียว เพราะมีมาตรการยกเว้น หรือลดหย่อนภาษีให้จำนวนมาก”
ขณะเดียวกัน กรมสรรพากร ยังมีการผ่อนคลายให้กับผู้เสียภาษีอย่างต่อเนื่อง โดยในแต่ละปีมีการออกมาตรการที่ต่อเนื่องกว่า 30 มาตรการ เช่น การลดหย่อนภาษี การหักภาษี ณ ที่จ่าย และมาตรการอื่น ๆ ที่เป็นนโยบายของรัฐบาล เช่น การปรับเปลี่ยนการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) มาเป็นกองทุน Thai ESG หรือกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแทน คาดว่ารายได้ของกรมสรรพากรจะหายไป 40,000 ล้านบาท แต่ผลปรากฎว่ามีนักลงทุนเปลี่ยนการลงทุนเพียงเล็กน้อย ทำให้สูญเสียรายได้จริงประมาณ 1,000 ล้านบาท
ดึง AI เก็บรายได้เพิ่ม
ในอดีตกรมสรรพากรมีความคิดว่า จากนำปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) มาทำหน้าที่แทนมนุษย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่ได้มองว่า เอไอจะเข้ามาช่วยจัดเก็บภาษี แต่มองว่า เอไอมาเป็นส่วนช่วยในการสนับสนุนการทำงานของกรมสรรพากร คาดว่าจะดำเนินการภายในปี 2570 โดยนำเทคโนโลยีเอไอมาช่วยใน 4 ด้าน ดังนี้
1.ช่วยจัดเก็บภาษีรายได้บุคคลธรรมดา โดยใช้เอไอมาวิเคราะห์ตรวจจับข้อมูลของบุคคลที่ยื่นภาษี เช่น การตรวจการคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ใช้เอไอช่วยตรวจสอบความแม่นยำของข้อมูล เพื่อป้องกันการยื่นข้อมูลเท็จ
2.อารีย์แชทบอท คือแชทบอทเพื่อช่วยตอบคำถามและข้อสงสัย 3.การใช้เทคโนโลยีเอไอมาตรวจสอบเอกสารทั้งจากรูปแบบกระดาษ และอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อจัดเรียกข้อมูลได้ง่ายขึ้นร่นระยะเวลาการทำงานของให้เร็วขึ้น จากที่ใช้ระยะเวลา 6 เดือน หากนำเอไอมาใช้งานจะช่วยทำเสร็จภายใน 3-4 วัน
และ 4.ใช้กับระบบเทรนนิ่งงานบุคคล เนื่องจากสรรพากรมีสมุห์อำเภอจำนวน 850 แห่ง จะมีการจัดสัมมนา 3-6 เดือน แต่เมื่อมีการวางระบบใหม่ โดยใช้เอไอมาช่วยวางระบบที่เป็นแบบแผนเหมือนกันทั้งระบบจะช่วยให้การทำงานดีขึ้น และเป็นระบบมากขึ้น
“การนำเทคโนโลยีเอไอมาใช้ในการทำงานควบคู่ไปกับการทำงานของมนุษย์ จะสนับสนุนให้การทำงานของกรมสรรพากรดีขึ้น ทั้งด้านคุณภาพให้เกิดประโยชน์ครบถ้วนที่มีการวิเคราะห์ข้อมูลแม่นยำ และถูกต้อง ทั้งหมดนี้ถือเป็นงานที่จะเข้ามาช่วยในการจัดเก็บรายได้ของสรรพากรด้วยเช่นกัน”
ดังนั้น การจัดรายได้ของกรมสรรพากรในปีงบประมาณนี้ จะพยายามทำให้ดีที่สุด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อีก 2 เดือนจะสิ้นปีงบประมาณ 2568 (วันที่ 30 ก.ย.68) แม้ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน จะไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ก็ตาม แต่เราก็เชื่อมั่นว่า จะสามารถจัดเก็บรายได้ให้เข้าใกล้เป้าหมายมากที่สุดและเป็นธรรมกับผู้เสียภาษีทุกราย
“ทีมเศรษฐกิจ อีจัน”