“ศิริกัญญา” ชงปรับลดงบอีก 5 หมื่นล้าน เก็บไว้ใช้ยามจำเป็น
รัฐสภา 13 ส.ค.- “ศิริกัญญา” เสนอปรับลดงบประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ชี้ต้องเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามจำเป็น เพื่อรับมือกับวิกฤติทางเศรษฐกิจ แจงตัดงบเพียง 8,900 ล้านบาท ทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาว่ามีวิกฤติรออยู่ เตือนปี 69 หนี้สาธารณะกำลังชนเพดาน เสี่ยงต้องออก พ.ร.ก.เงินกู้ เพื่อพยุงเศรษฐกิจอีก
นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ 2569 โดยให้มีการปรับลดงบประมาณเพิ่มอีก 50,000 ล้านบาท เหลือ 3.73 ล้านล้านบาท ยืนยันว่า ไม่ใช่เรื่องปกติที่อยากจะปรับลดงบประมาณเพิ่มในยามประเทศเผชิญวิกฤติทั้งด้านเศรษฐกิจและการปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชม โดยหวังว่า ปัญหาไทย-กัมพูชาจะไม่ยืดเยื้อไปถึงปีงบประมาณ 69
อย่างไรก็ตาม นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า แต่จากวิกฤติเศรษฐกิจจำเป็นต้องปรับงบประมาณลง เพื่อเป็นการเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามจำเป็น ซึ่งจากวิกฤติสงครามการค้าทำให้การคลังตกอยู่ในภาวะ 3 เสี่ยง คือ เสี่ยงด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะ
ทั้งนี้ นางสาวศิริกัญญา ได้ยกข้อมูลจากการประเมินของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจปี 68 ล่าสุด เติบโตเพียงแค่ 1.6%
นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า เศรษฐกิจที่ชะลอตัวที่เป็นผลจากสงครามการค้า ส่งผลต่อจีดีพีทั่วโลก และอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ลดลง คือ ราคาน้ำมันที่ปรับลดลง มีการประมาณการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบโลกปี 69 จะอยู่ที่ 60-68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่างที่ประมาณการณ์ไว้ที่ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้เราจัดเก็บรายได้ที่ได้จากภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าน้ำมันลดลงประมาณ 0.7% คาดว่า จะส่งผลให้รัฐพลาดเป้าจัดเก็บรายได้เกือบ 64,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า เรามีปัญหาในเรื่องการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐบาลมาต่อเนื่อง ซึ่งเก็บภาษีได้เพียง 15% ของจีดีพีต่ำกว่าหลายประเทศที่เป็นกลุ่มเดียวกับไทย โดยในปี 67 รายได้ภาษีตกเป้าเกือบ 8 หมื่นล้านบาท แต่ปิดหีบได้เพราะมีรายได้พิเศษ เช่น ปตท.ปันผลก่อนเวลาอันควร หรือบีบให้กองทุนวายุภักษ์ปันผลเพิ่มเติม สังเกตได้ว่า รายได้จากรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้น 25.4%
ในส่วนปี 68 มีแนวโน้มเก็บภาษีตกเป้าเช่นกัน เพียง 9 เดือนแรกรายได้ภาษีตกเป้าไปแล้ว 6.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่รู้ว่า ปี 68 จะมีรัฐวิสาหกิจใดมาช่วยอีกหรือไม่ ถ้าไม่มีจะเป็นปัญหาทางการคลังต่อไป
สำหรับความเสี่ยงด้านรายจ่ายนั้น นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า จากวิกฤติเศรษฐกิจจำเป็นต้องมีงบพยุง ฟื้นฟู กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไม่การเตรียมการเอาไว้ งบกลางสำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ที่ 25,000 ล้านบาท ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ทั้งนี้ นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า ความเสี่ยงด้านหนี้สาธารณะกำลังจะชนเพดานหนี้แล้ว พื้นที่ทางการคลังเหลือไม่มากแล้ว ณ ปัจจุบัน มิ.ย.68 หนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ 64% แต่สิ้นปี 68 หนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะไปอยู่ที่ 66 % ส่วนสิ้นปี 69 หากกู้ตามที่วางแผนไว้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะขึ้นไปถึง 69% จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมต้องมีประหยัดงบประมาณในส่วนนี้ เพราะในอนาคตอาจจำเป็นต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีให้เกิน 70% และต้องออกพ.ร.ก.เงินกู้เพื่อพยุงเศรษฐกิจในปี 69
นางาวศิริกัญญา กล่าวว่า ยอดปรับงบประมาณ 69 ที่ปรับลด 8,900 ล้านบาท เหมือนกับว่า เราไม่รู้สึกรู้สาเลยว่า มีวิกฤติรออยู่ แตกต่างจากปีอื่นๆ เช่น ในปีที่เกิดวิกฤติโควิด ยังสามารถปรับลดงบประมาณถึง 3 หมื่นล้านบาท
“ดิฉันไม่อยากปรับลดประมาณในช่วงที่เราเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แต่เราจำเป็นต้องเก็บกระสุน ถ้าการจัดงบประมาณในครั้งนี้ ยังไม่ตอบโจทย์ที่จะช่วยให้ประเทศรอดพ้นจากสงครามการค้าได้ก็จำเป็นต้องปรับงบประมาณในครั้งนี้เพื่อเก็บพื้นที่ทางการคลังเอาไว้เมื่อเกิดวิกฤติจริง”นางสาวศิริกัญญา กล่าว.-315 -สำนักข่าวไทย