สแกน‘ผบ.เหล่าทัพ’ชุดใหม่ วางตัว‘แม่ทัพ’คุม อีสาน-ใต้
ความเป็นหนึ่งเดียวของ “ผบ.เหล่าทัพ” ชุดปัจจุบัน นำโดย พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.ทหารสูงสุด พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผบ.ทร. และพล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ.
ถือเป็นส่วนสำคัญในการปกป้องอธิปไตยชายแดนไทย-กัมพูชา ในห้วงรัฐบาลเกิดสุญญากาศทางการเมือง จากเหตุการณ์สู้รบ 24-28 ก.ค. ที่ผ่านมา
แผนที่ 1 : 50,000 ที่ไทยยึดถือ คือเป้าหมายเดียวกันของ “ผบ.เหล่าทัพ” ภายใต้แผนจักรพงษ์ภูวนาถ ทำงานเป็นระบบ “ผบ.ทบ.” ผู้บัญชาการรบ บูรณาการกำลังทางรบภาคพื้นระหว่างกองทัพภาคที่ 2 และกองทัพภาคที่ 1
“ผบ.ทร.” ดูกำลังทางเรือ มีกองกําลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ของทัพเรือภาคที่ 1 ภายใต้ยุทธการการ “ตราดพิฆาตไพรี1” จัดหมวดเรือเฉพาะกิจ 4 ลำ สนับสนุนกำลังทางบก
ส่วน “ผบ.ทอ.” สนับสนุนกำลังทางอากาศ เครื่องบินขับไล่ F-16 และกริพเพน ตามแผนปฏิบัติการ “ยุทธบดินทร์“ ร่วมกับกำลังทางบก
ทั้งในส่วนของกองกำลังบูรพา กองทัพภาค 1 และกองกำลังสุรนารี กองทัพภาค 2 และถือเป็นครั้งแรกที่เครื่องบิน กริพเพน ทำการรบจริง
ด้าน “ผบ.ทหารสูงสุด” นอกจากบูรณาการทำงานร่วมกับ 3 เหล่าทัพแล้ว ยังส่งหน่วยทหารพัฒนาลงพื้นที่ฟื้นฟูซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีด้วยอาวุธหนักของทหารกัมพูชา
การรบครั้งนี้ นับเป็นการรบครั้งสำคัญก่อนเกษียณฯ 30 ก.ย.2568 ของ ผบ.เหล่าทัพ พล.อ.สนิธชนก พล.อ.ทรงวิทย์ พล.ร.อ.จิรพล พล.อ.อ.พันธ์ภักดี ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในปัจจุบันยังมีความไม่แน่นอนสูง
แม้ผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC กลไกทวิภาคีฝ่ายทหารระดับ รมว.กลาโหม ) เมื่อ 7 ส.ค.2568 ที่ประเทศมาเลเซีย ทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ แต่เป็นที่รับรู้ว่าในทางปฏิบัติดำเนินการไม่ได้ 100%
ต้องจับตาการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC กลไกทวิภาคีฝ่ายทหารระดับแม่ทัพภาค) ไทย-กัมพูชา 15-21 ส.ค.2568 ซึ่งจัดขึ้น 3 พื้นที่ เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติ ตัวชี้วัด จะสามารถบรรลุ 13 ข้อตกลงหยุดยิงได้หรือไม่
วันที่ 15 - 16 ส.ค.2568 กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด(กปช.จต.)กับกองทัพภาคที่ 3 กัมพูชา จ.ตราด
วันที่ 20 - 21 ส.ค.2568 : กองทัพภาคที่ 1 กับกองทัพภาคที่ 5 กัมพูชา จ.สระแก้ว
วันที่ 19 - 21 ส.ค.2568 กองทัพภาคที่ 2 กับกองทัพภาคที่ 4 กัมพูชา ซึ่งรอยืนยันจากฝ่ายกัมพูชา
ทั้งนี้ หากพิจารณาสถานการณ์ในพื้นที่ ทหารกัมพูชาปรับยุทธวิธีเตรียมพร้อมสู้รบ ทั้งการเพิ่มเติมกำลัง ปรับปรุงฐาน ขุดคูเลต เปลี่ยนพื้นที่วางอาวุธหนักตลอดแนว ตั้งแต่ ช่องบก ซำแต ภูมะเขือ ช่องตาเฒ่า ปราสาทตาเมือนธม พื้นที่เขาพระวิหาร บริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ห้วยตามาเรีย ช่องอานม้า
อีกทั้งกัมพูชายังไม่ตอบรับข้อเสนอของฝ่ายไทยในเวทีประชุมจีบีซี เรื่อง ความร่วมมือเก็บทุ่นระเบิด และการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ที่ชายแดน ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติเดียวกัน ส่งผลให้ทหารไทยยังต้องเผชิญอาวุธซ่อนรูปของทหารกัมพูชา บาดเจ็บ ข้อเท้าขาดต่อเนื่องจากภารกิจลาดตระเวนจากกับระเบิดที่ถูกวางไว้ตลอดแนวชายแดน
ฝูงโดรนบินเหนือที่ตั้งสนามบิน คลังอาวุธ คลังระเบิด บ้านพักทหาร โรงพยาบาล ใน 14 จังหวัดของไทย มีลักษณะข่มขู่ คาดว่าเป็นฝีมือชาวต่างชาติ และคนไทยบางส่วนเสียประโยชน์จากการปราบปรามเครือข่ายแก๊งคอลเซนเตอร์
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยังไม่นิ่ง อาจเป็นปัจจัยการวางตัวบุคคลมารับไม้ต่อในการปรับย้ายใหญ่เดือนตุลาคม 2568
ในส่วนสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม คาดว่า พล.อ.สนิธชนก จะเสนอชื่อ พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ (เตรียมทหารรุ่น 24 หรือ ตท.24 )รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่
กองบัญชาการกองทัพไทย คาดว่า พล.อ.ทรงวิทย์ จะเสนอชื่อ พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ รอง ผบ.ทหารสูงสุด (ตท.24)เป็น ผบ.ทหารสูงสุด คนต่อไป
สำหรับ พล.อ.อุกฤษฎ์ เป็นหนึ่งในทีม พล.อ.ทรงวิทย์ ร่วมเกาะติดสถานการณ์สู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ในวอร์รูมที่กองบัญชาการกองทัพไทย 24 ชั่วโมงตลอด 5 วันการสู้รบ
ขณะที่กองทัพเรือ มีแคนดิเดต ผบ.ทร. 4 คน แต่โฟกัสที่ พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เสนาธิการทหารเรือ (ตท.24) ด้วยบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของการเป็น เสธ.ทร. ทำให้มีบทบาทโดดเด่น
นอกจากนี้ ยังมีแคนดิเดตเป็นตท.25 จำนวน 3 คน พล.ร.อ.พิจิตต ศรีรุ่งเรือง ผู้ช่วย ผบ.ทร. พล.ร.อ.ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผบ.กองเรือยุทธการ พล.ร.อ.สุชาติ ธรรมพิทักษ์เวช ที่ปรึกษาพิเศษ ทร.
ขณะที่ กองทัพอากาศ มีแคนดิเดต ผบ.ทอ.ตัวเต็ง พล.อ.อ.เสกสรร คันธา (ตท.26) ผู้ช่วย ผบ.ทอ. เพื่อนร่วมรุ่น ผบ.ทบ. แต่ยังมี
พล.อ.อ.วชิระพล เมืองน้อย (ตท.27) เสธ.ทอ. พล.อ.อ.ไวพจน์ เกิงฝาก (ตท.25) ผู้บัญชาการกองบัญชาการควบคุมการปฏิบัติทางอากาศ(ผบ.คปอ.) ล้วนมีความรู้ความสามารถเช่นเดียวกัน
สำหรับกองทัพบก แม้ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ.จะมีอายุราชการถึงปี 2570 แต่มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งที่น่าสนใจ คาดว่า พล.อ.พนา จะดันเพื่อนคู่คิด ที่กรำศึกชายแดนไทย-กัมพูชา มาด้วยกัน คือ พล.ท.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ (ตท.26) รองเสนาธิการทหารบก เป็นเสนาธิการทหารบก ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทในการปรับปรุงแผนจักรพงษ์ภูวนาถของกองทัพบก
ส่วน แม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ หากไม่มีปัจจัยใดแทรกซ้อน พล.ต.วีระยุทธ รักศิลป์ (ตท.26) รองแม่ทัพภาคที่ 2 ถูกวางตัวแทน พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ที่จะเกษียณอายุราชการ 30 ก.ย.2568
ขณะที่แม่ทัพดับไฟใต้ ยังเป็น พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ (ตท.25) หรือจะถูกเปลี่ยนตัวเพราะก่อนหน้านี้มีข้อครหาไม่สามารถคุมสถานการณ์ในพื้นที่ได้ ส่งผลให้คนไทยพุทธถูกทำร้าย พระ เณร คนตาบอด ผู้สูงอายุ ก็คงต้องวัดพลังจากฝ่ายการเมือง
และหากมีการเปลี่ยนตัวแม่ทัพภาค 4 (มทภ.4) จะเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่าง พล.ต.วรเดช เดชรักษา (ตท.27) รอง มทภ.4 ลูกหม้อ ทภ.4 น้องรัก 3 บิ๊ก อดีต มทภ.4 “บิ๊กเดฟ” พล.อ.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ “บิ๊กเกรียง” พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ และ “บิ๊กต้น” พล.อ.ศานติ ศกุนตนาค อีกคน พล.ต.ชาคริต อุจะรัตน (ตท.28) รอง มทภ.4 สายรบพิเศษ เคยเป็นผู้บัญชาการกองพลรบพิเศษที่ 1 (ผบ.พล.รพศ.1) ถูกวางตัวไว้นานแล้ว แต่ยังฝ่าด่านลูกหม้อ ทภ.4 ไม่ได้
ปัจจุบันชายแดนไทย-กัมพูชา ยังวางใจไม่ได้ เหตุยังไม่มีการถอนกำลังทหารและอาวุธหนักออกจากพื้นที่ ส่วนไฟใต้ก็ยังไม่มอด ขณะที่กองทัพ อยู่ระหว่างจัดวางขุนศึกใหม่ รับมือสถานการณ์อนาคตนี้