รวมคำโกหกเขมร Fake News!
สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ไม่เพียงแต่ปะทะกันแค่เพียงกำลังพลทหาร แต่ยังมี "สงครามข้อมูลข่าวสาร" ที่ปล่อยข่าวปลอมโจมตีไทย
ความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ไม่ได้มีเพียงการปะทะกัน ด้วยอาวุธ เพียงอย่างเดียว แต่ยังมี “สงครามข้อมูล” หรือ Information Warfare ที่รุนแรงไม่แพ้กัน โดยเฉพาะจากฝั่งกัมพูชา ที่มีการปล่อยข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือนเพื่อโจมตีและลดความน่าเชื่อถือของประเทศไทย
สำหรับข่าวปลอม หรือเฟคนิวส์ ที่กัมพูชา เผยแพร่ผ่านสื่อ มีตัวอย่าง เช่น สื่อกัมพูชา Fresh News รายงานว่าไทยจะเคลื่อนทัพโจมตีในคืนวันที่ 13–14 สิงหาคม และมีการสั่งปิดโรงเรียน รวมถึงอพยพประชาชนชายแดน
ซึ่งข้อเท็จจริง กองทัพไทยยืนยันว่าไม่มีคำสั่งดังกล่าว และไม่มีการเคลื่อนกำลังพลผิดปกติ ข่าวนี้ถูกยืนยันแล้วว่าเป็น เฟกนิวส์ 100%
ตัวเลขทหารกัมพูชา ที่มีการปล่อยข่าวปลอมกล่าวว่าไทยกำลังส่งกำลังพลขนาดใหญ่เข้าสู่ชายแดน และกัมพูชา ส่งทหารกว่า 40,000 นายเตรียมรับมือ ข้อเท็จจริง: ฝ่ายไทยตรวจสอบแล้วว่าเป็นการ “สร้างตัวเลขเกินจริง” เพื่อสร้างความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนทั้งสองประเทศ
ไทยโจมตีพลเรือนด้วยระเบิด MK-84 โดยข่าวจากเพจและสื่อออนไลน์กัมพูชาใส่ร้ายว่าไทยใช้ระเบิด MK-84 ถล่มบ้าน โรงเรียน และคลินิกในฝั่งกัมพูชาข้อเท็จจริง ไม่มีหลักฐานและไม่มีรายงานสากรรองรับ ข้อมูลนี้ถูกตีแผ่ว่าเป็น การใส่ร้ายทางทหารเพื่อให้ไทยถูกมองว่าใช้สงครามสกปรก ไทยสั่งอพยพประชาชนชายแดน โดยข่าวจากสื่อกัมพูชาระบุว่า “ชาวบ้านฝั่งไทยแห่อพยพหนีสงคราม”
ข้อเท็จจริง: ไทยยืนยันว่าไม่เคยสั่งอพยพ มีเพียงการเตรียมแผนรับมือในระดับปกติ ข่าวนี้ทำให้เกิดความตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น
ข่าวเล็กๆ แต่แพร่ไปไว อย่างการกล่าวหาว่า ไทยใช้ “หนังสติ๊ก” โดยสื่อกัมพูชาปล่อยภาพและข้อความว่า “ทหารไทยจนตรอก ใช้หนังสติ๊กยิงแทนปืน”
แต่ข้อเท็จจริง เป็นการบิดเบือนเพื่อสร้างภาพล้อเลียน ทำลายขวัญกำลังใจ และลดความน่าเชื่อถือของกองทัพไทย
นอกจากนี้ กัมพูชา ยังแถลง กล่าวหา กองทัพไทย" ใช้อาวุธเคมี ซึ่ง กองทัพไทยได้มีการแถลงตอบโต้ว่าข้อมูลดังกล่าว ไม่มีมูลความจริง-บิดเบือนร้ายแรง เพราะไทยยึดพันธกรณีตามอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามอาวุธเคมี และ ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้หลักมนุษยธรรมสากล
ทั้งนี้ กลยุทธ์ในการสื่อสารของกัมพูชา ใช้โฆษกหญิงประจำกระทรวงกลาโหม อย่างพลโทมาลี โสเจียตา แถลงข่าวทุกวัน ชี้นำวาทกรรมว่าฝ่ายไทยคือ “ผู้รุกราน” มีการควบคุมทิศทางสื่อหลัก เช่น Fresh News เพื่อให้ประชาชนในประเทศ เชื่อว่าไทยคือผู้เริ่มสงคราม บางข่าวถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจ เพื่อเผยแพร่ในโซเชียลไทย หวังให้เกิด “ความไม่ไว้วางใจในรัฐบาลไทย”
ขณะที่ การตอบโต้จากฝั่งไทย มีทั้ง ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) ของไทย ออกมาชี้แจงรายวัน พร้อมยืนยันหลักฐานภาพถ่าย ดาวเทียม และรายงานจากหน่วยท้องถิ่น
กองทัพไทยและโฆษกรัฐบาลย้ำว่า “ไม่มีการโจมตีพลเรือน” และ “ไม่มีการเคลื่อนกำลังพิเศษ” อย่างที่ข่าวกัมพูชากล่าวอ้าง ไทยยังนำเรื่องนี้ขึ้นสู่เวทีนานาชาติ ชี้ว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดเผยแพร่ข่าวปลอมตามที่สองฝ่ายลงนามร่วมกัน
สำหรับความขัดแย้งข่าวปลอมแบบนี้มีที่มาทางประวัติศาสตร์ เช่น ปี 2003 เกิดจลาจลในพนมเปญ หลังมีข่าวปลอมว่า “นักแสดงไทยกล่าวว่าอังกอร์วัดเป็นของไทย” จับไฟลามเผาเอกอัครราชทูตไทย และส่งผลกระทบเชิงความรู้สึกใน วงกว้างระหว่างสองชาติ ภาพข่าวปลอมในปัจจุบัน เช่น คลิปโซเชียลและข้อความแสดงอคติทางชาติพันธุ์ เช่น คลิปฝรั่งตีเด็กกัมพูชา, การเหยียดผู้ลี้ภัย, ยกธงล้มบาทหรือโพสต์เหยียดคนกัมพูชา กลายเป็นตัวจุดไฟความเกลียดชัง ที่สร้างบรรยากาศไม่ปลอดภัยสำหรับชาวกัมพูชาในไทย อีกด้าน กัมพูชาก็อ้างประเทศไทยว่าเป็นฝ่ายแพร่ข้อมูลเท็จบ้าง เช่น กล่าวหาว่าประชาสัมพันธ์ไทยบิดเบือนภาพสถานการณ์หรือโจมตีฝ่ายกัมพูชา ทั้งสองฝ่ายใช้สงครามข้อมูลเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์
ทั้งนี้ สงครามชายแดนไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ชายแดนทางทหาร แต่มันขยายมายังโลกออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นสนามรบแห่งข้อมูล ดังนั้นสังคมไทยควรตระหนักว่า “ข่าวปลอม” ไม่เพียงทำลายความเชื่อมั่น แต่ยังส่งผล ต่อสันติภาพและความสัมพันธ์สองประเทศด้วย
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook: https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews