สหรัฐฯ ยกเลิกสิทธิ “de minimis” ฉุด Temu-Shein สะดุด ยอดซื้อหด-ดาวน์โหลดวูบ
(วันนี้ 23 ส.ค. 2568) สำนักข่าว นิกเกอิเอเชีย รายงานว่า ผู้บริโภคชาวอเมริกันกำลังลดการซื้อสินค้าและใช้เวลาบนแพลตฟอร์ม “อีคอมเมิร์ซจีน” อย่าง Temu และ Shein ลงอย่างต่อเนื่อง หลังนโยบายยกเว้นภาษีสำหรับพัสดุมูลค่าต่ำ หรือมาตรการ “de minimis” ใกล้สิ้นสุดลงในวันที่ 29 ส.ค.นี้
ก่อนหน้านี้ มาตรการดังกล่าวอนุญาตให้พัสดุมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์จากต่างประเทศเข้าประเทศได้โดยไม่เสียภาษี แต่ทำเนียบขาวภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เห็นว่าเป็นช่องโหว่ในการหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรและอาจถูกใช้ขนส่งสินค้าผิดกฎหมาย จึงลงนามยกเลิกสิทธินี้สำหรับพัสดุเชิงพาณิชย์ทั้งหมดตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ผลที่ตามมาคือ Temu และ Shein ต้องปรับขึ้นราคาสินค้า ส่งผลให้ช่องว่างด้านราคากับคู่แข่งอย่าง Amazon และ Walmart ที่มีคลังสินค้าและระบบขนส่งในประเทศ ลดลงจนสามารถแข่งขันได้ใกล้เคียงมากขึ้น
ข้อมูลจาก Consumer Edge ระบุว่าในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ยอดธุรกรรมของ Temu ลดลงถึง 28% และ Shein ลดลง 14% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ยอดใช้จ่ายของ Temu ดิ่งลง 30% ส่วน Shein กลับเติบโตขึ้น 8% หลังการปรับขึ้นราคา
ด้านบริษัทวิเคราะห์ Sensor Tower เผยว่า ยอดดาวน์โหลดแอปในสหรัฐฯ เดือนก.ค. ร่วงแรง Temu หดตัว 65% และ Shein ลดลง 25% ขณะที่เวลาการใช้งานแอปลดลงในอัตราเลขสองหลัก เนื่องจากทั้งสองบริษัทปรับลดงบโฆษณา โดยเฉพาะ Temu ที่หั่นงบลงถึง 90% ทำให้อันดับการโปรโมทโฆษณาหล่นจากอันดับ 7 ในปีก่อน ร่วงกว่า 150 อันดับ
นักวิเคราะห์จาก eMarketer ระบุว่า ทั้ง Temu และ Shein เริ่มเบนงบโฆษณาไปยังตลาดยุโรปและญี่ปุ่น เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ แทนการทุ่มทั้งหมดในตลาดสหรัฐเหมือนที่ผ่านมา ท่ามกลางเศรษฐกิจชะลอตัว บริษัททั้งสองจึงวางกลยุทธ์ใหม่ หันมากระตุ้นลูกค้าเดิมในสหรัฐฯ ให้กลับมาใช้งานมากกว่ามุ่งหาลูกค้าใหม่
Michael Gunther หัวหน้าฝ่ายข้อมูลเชิงลึกของ Consumer Edge กล่าวย้ำว่า การยกเลิกมาตรการ “de minimis” ถือเป็น “ภัยคุกคามโดยตรงต่อรูปแบบธุรกิจของTemu และShein” เพราะบังคับให้ทั้งสองต้องลดความหลากหลายของสินค้า และหันมาทดลองระบบจัดส่งภายในประเทศ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่จากโมเดลเดิมที่พึ่งพาการส่งตรงจากจีน
ทั้งนี้ Temu และ Shein ยังไม่ได้ให้ความเห็นต่อประเด็นดังกล่าว