เปิดอาการระยะแรก "มะเร็งปากมดลูก" ที่ผู้หญิงทุกคนห้ามมองข้าม
"หมอเจด" นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า
จอย ที-สเกิ๊ต ป่วยมะเร็งปากมดลูก ระยะ 4!
สัญญาณเริ่มจากอะไรมาดู!
มะเร็งปากมดลูก เป็นหนึ่งในมะเร็งที่ผู้หญิงไทยเจอบ่อยที่สุด
อย่าล่าสุดหลายคนน่าจะเห็รข่าวของ คุณจอย ที-สเกิ๊ต อดีตนักร้องดังที่ออกมาเล่าว่าเธอตรวจพบ มะเร็งปากมดลูกระยะที่ 4
จึงกลายเป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนหันมาสนใจสุขภาพตัวเองมากขึ้น
สิ่งที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้านั้นเธอมีอาการผิดปกติหลายอย่างแล้ว
แต่ก็ยังทนเพราะคิดว่าไม่เป็นไร จนสุดท้ายไปหาหมอและตรวจพบว่าเป็นมะเร็งระยะลุกลาม
วันนี้ผทยากเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ๆ ว่า อาการของมะเร็งปากมดลูกมีอะไรบ้าง ทำไมถึงเกิดขึ้น และเราจะป้องกันได้อย่างไร
1.มะเร็งปากมดลูกคืออะไร ทำไมถึงพบบ่อย
มะเร็งปากมดลูก (Cervical Cancer) เกิดจากการที่เซลล์เยื่อบุปากมดลูกเปลี่ยนแปลงผิดปกติ และเติบโตแบบไม่หยุดยั้งจนกลายเป็นก้อนมะเร็ง
สาเหตุหลัก ๆ คือเกิดจากการติดเชื้อ HPV (Human Papillomavirus)
ซึ่งเชื้อตัวนี้มากกว่า 100 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่เสี่ยงสูงสุดคือ 16 และ 18
การติดเชื้อมักมาจากการมีเพศสัมพันธ์ → ต่อให้มีคู่นอนเพียงคนเดียวก็เสี่ยงได้
ส่วนใหญ่ร่างกายจะกำจัดเชื้อได้เอง แต่บางคนเชื้ออยู่ต่อเนื่องหลายปี → ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์จนกลายเป็นมะเร็ง
2) อาการระยะแรกที่ผู้หญิงมักมองข้าม
จุดที่ทำให้โรคนี้น่ากลัวคือ อาการแรก ๆ มักไม่ชัด หรือคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของผู้หญิง หลายคนเลยปล่อยผ่าน
อาการที่ควรระวัง
เลือดออกผิดปกติ
•เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ (postcoital bleeding)
•เลือดออกกะปริดกะปรอยนอกเหนือจากรอบเดือน
•ประจำเดือนออกมากกว่าปกติ
ตกขาวผิดปกติ
•ปริมาณมากขึ้นกว่าปกติ
•มีกลิ่นเหม็น หรือมีกลิ่นที่เปลี่ยนไปชัดเจน
•มีเลือดปน หรือสีออกน้ำตาล
อาการปวดท้องน้อยหรือเจ็บเชิงกราน
•ปวดคล้ายปวดประจำเดือน แต่ไม่หายสักที
•ปวดร้าวไปถึงหลังหรือต้นขา
อาการระยะลุกลาม
•ปัสสาวะมีเลือด เจ็บเวลาปัสสาวะ
•อุจจาระผิดปกติ ท้องผูกเรื้อรัง
•น้ำหนักลด อ่อนเพลีย
อย่างของคุณจอย เธอก็มาเล่านะว่า เขาเริ่มจากมีล่มเลือดก้อนใหญ่
พอผ่านไปเลือดไหลเยอะขึ้น จนต้องกิน Tranexamic Acid หลายร้อยเม็ดเพื่อพยายามหยุดเลือด
ถามว่าเยอะแค่ คือต้องใส่ แพมเพิสผู้ใหญ่ ไปทำงาน
ร่วมกับมีอาการเจ็บท้องแต่ยังฝืนถ่ายละครและเป็นพิธีกร
อันนี้อยากฝฝากนะ ถ้ามีอาการผิดปกติ ไม่ว่าจะเล็กน้อย หรือผิดปกติมาก อย่ารอครับ
3.ทำไมอาการเหล่านี้ถึงเกิดขึ้น?
อาการที่พูไปข้อที่แล้ว คือ“ร่างกายเราส่งสัญญาณเตือน” ว่าเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นนะ
•เลือดออกผิดปกติ → ก้อนมะเร็งไปกัดกินและทำลายเส้นเลือดเล็ก ๆ บริเวณปากมดลูก → เลือดซึมออกมา
•ตกขาวมีกลิ่น → เซลล์มะเร็งบางส่วนตาย เกิดการติดเชื้อ → มีกลิ่นเหม็นและเลือดปน
•ปวดท้องน้อย/ปวดหลัง → ก้อนเนื้อโตจนกดทับเส้นประสาท → ปวดเรื้อรัง
•ปัสสาวะหรืออุจจาระผิดปกติ → เนื้องอกไปเบียดกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ → ทำให้ปัสสาวะไม่สุด ถ่ายไม่สะดวก
4. ทำไมผู้หญิงหลายคนถึงรู้ตัวช้า
จากประสบการณ์หมอ เหตุผลที่ได้ยินบ่อยๆคือ
•อาย → ไม่กล้าตรวจภายใน
•กลัวเจ็บ กลัวผลตรวจ → เลยเลี่ยง
•คิดว่าไม่เป็นไร → เห็นเลือดออกนิด ๆ หน่อย ๆ คิดว่าเพราะเครียดหรือประจำเดือนผิดปกติ
•ภาระงานและครอบครัว → เลือกทน เพราะไม่อยากให้กระทบชีวิตประจำวัน
5. ไม่อยากเป็นมะเร็งปากมดลูก ทำ 2 อย่างนี้
จริง ๆ วิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูก ไม่ได้ซับซ้อนเลยครับ ถ้าให้สรุปแบบสั้นที่สุดคือ “ตรวจ” กับ “ฉีด” แค่นี้ก็ลดความเสี่ยงได้มหาศาลแล้ว
1. ตรวจคัดกรอง (Pap smear / HPV DNA test)
•ผู้หญิงอายุ 25 ปีขึ้นไป ควรตรวจภายในและทำ Pap smear อย่างน้อยทุก 1–3 ปี
•ปัจจุบันมี HPV DNA test ที่แม่นยำยิ่งกว่า ตรวจหาเชื้อ HPV โดยตรง → ทำทุก 5 ปีได้
•ใครที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ควรตรวจ 3 หลังมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก
หรืออายุ 25+ ควรตรวจทุก 3 ปี ป้องกันไว้ก่อนดีที่สุด
การตรวจพวกนี้ช่วยเจอ “เซลล์ผิดปกติ” ก่อนจะกลายเป็นมะเร็ง → ถ้าเจอเร็วรักษาได้ง่าย และหายขาด
ผมอยากย้ำว่า อย่ารอให้มีอาการค่อยตรวจ เพราะกว่ามะเร็งจะมีอาการชัด มักจะลุกลามไปไกลแล้ว
2. ฉีดวัคซีน HPV
•วัคซีน HPV ป้องกันเชื้อสายพันธุ์เสี่ยงสูง (โดยเฉพาะ 16 และ 18) ที่เป็นสาเหตุเกือบทั้งหมดของมะเร็งปากมดลูก
•แนะนำฉีดตั้งแต่อายุ 9–26 ปี → แต่ถ้าอายุเกินก็ยังฉีดได้ เพื่อลดความเสี่ยง
•การฉีดวัคซีนร่วมกับการตรวจคัดกรอง ถือเป็น เกราะป้องกันสองชั้น ที่มีประสิทธิภาพที่สุด
อีกอย่างที่ต้องทำคือ ลดความเสี่ยงอื่น ๆ
แม้ “ตรวจ + ฉีด” จะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่พฤติกรรมบางอย่างก็ช่วยเสริมได้ เช่น
ไม่สูบบุหรี่ → บุหรี่เพิ่มโอกาสให้เซลล์กลายพันธุ์
ดูแลสุขภาพร่างกาย → พักผ่อนเพียงพอ กินผักผลไม้ เพื่อให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง
ฝากด้วยนะครับเรื่องของคุณจอย ที-สเกิ๊ต ทำให้เห็นว่า มะเร็งปากมดลูกไม่ใช่โรคไกลตัว
และอาการเตือนหลายอย่างจริง ๆ ร่างกายส่งสัญญาณมาตลอด แต่เรามักมองข้าม
โรคนี้ถ้าเจอเร็ว โอกาสรักษาก็จะสูงขึ้นนะ
เพราะฉะนั้น อยากฝากผู้หญิงทุกคนว่า ตรวจภายในปีละครั้ง และอย่ามองข้ามสัญญาณเล็ก ๆ ที่ร่างกายบอกเรา
ใครมีคำถามคอมเมนต์ได้เลยนะ