รู้จัก "LRAD" อุปกรณ์ส่งเสียงระยะไกล ที่ไทยใช้คุมสถานการณ์ชายแดน
เมื่อวันที่ 25 ถึง 26 สิงหาคม ที่ผ่านมาหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทย นำอุปกรณ์ส่งเสียงระยะไกล (LRAD) ติดตั้งบนรถภาคสนามเพื่อปฏิบัติการ เตือนและควบคุมสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว อุปกรณ์ส่งเสียงระยะไกล (LRAD) ถูกเปิดใช้งานในโหมดสื่อสารและเตือนภัย โดยเน้นการส่งเสียงไปยังพื้นที่เป้าหมายแบบเฉพาะจุดเพื่อป้องกันการปะทะ วิธีการนี้ช่วยลดการใช้กำลังและการปะทะลงได้ เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดข้อสงสัยและความสนใจในสังคมว่า “อุปกรณ์ส่งเสียงทรงสี่เหลี่ยมบนรถคันนั้นมีศักยภาพ และผลกระทบต่อผู้ที่อยู่ในพื้นที่อย่างไร ?”
ประสิทธิภาพของ LRAD และโครงสร้างทางเทคนิค
ตามรายงานจากเอกสารผู้ผลิต LRAD และข้อมูลจาก Genasys ระบุว่า รุ่น 450XL และ 500X-RE ถูกออกแบบมาเพื่อการสื่อสารและเตือนภัยระยะไกล โดยมี
กำลังเสียงสูงสุด ประมาณ 149–151 เดซิเบล (dB SPL) ที่ระยะใกล้ ประมาณ 1 เมตร
ทิศทางเสียง กว้างราว 30 องศาทำให้สามารถกำหนดทิศทางได้แม่นยำ ลดผลกระทบต่อพื้นที่โดยรอบ
ระยะทำงานสามารถส่งเสียงได้หลายร้อยเมตรจนถึงเกิน 1,500 เมตร ในสภาพแวดล้อมโล่ง
การใช้งานหลัก เพื่อสื่อสารในภารกิจชายแดน เตือนภัยในทะเล หรือควบคุมฝูงชนในเหตุการณ์พิเศษ
ทั้งนี้ตามแนวปฏิบัติสากล อุปกรณ์นี้มักใช้ในโหมด “สื่อสาร” (Voice Communication) สำหรับการประกาศและเตือนก่อนสถานการณ์จะบานปลาย และอาจใช้โหมด “Alert tone” ซึ่งเป็นเสียงความดังสูงเพื่อบังคับให้ผู้คนออกจากพื้นที่ แต่การใช้โหมดหลังนี้ต้องคำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
ข้อดีและข้อเสียของ LRAD
ข้อดี:
สามารถส่งเสียงสื่อสารได้ชัดเจนแม้ในระยะไกล
มีทิศทางแม่นยำ ลดผลกระทบต่อผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง
สามารถใช้ได้ทั้งในด้านงานทหาร ด้านความปลอดภัยสาธารณะ และภารกิจช่วยเหลือฉุกเฉิน
ข้อเสีย:
มีระดับเสียงที่สูงอาจก่อให้เกิดการสูญเสียการได้ยินหรือผลกระทบต่อสุขภาพอื่น ๆ หากใช้ในระยะใกล้หรือไม่มีการป้องกัน
ขาดการกำกับดูแลที่ชัดเจนในบางประเทศ รวมถึงไทยที่ยังไม่มีมาตรฐานการใช้งานเฉพาะสำหรับอุปกรณ์เสียงทิศทางสูง
มีความเสี่ยงถูกใช้ผิดวัตถุประสงค์ในสถานการณ์ที่ไม่จำเป็น
กรอบกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัย
ภายใต้ พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ของไทย เจ้าหน้าที่มีอำนาจใช้เครื่องมือควบคุมฝูงชนได้ เมื่อจำเป็นและได้สัดส่วน กับสถานการณ์ โดยต้องแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนดำเนินการ และลดการใช้กำลังให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้
ในระดับสากล แนวทางของสหประชาชาติ (UN) และคู่มือจาก Physicians for Human Rights (PHR) แนะนำว่าการใช้อุปกรณ์อะคูสติกเช่น LRAD ควรจำกัดการใช้โหมดเสียงดังรุนแรงเพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ ใช้เฉพาะในพื้นที่เปิด และหลีกเลี่ยงการยิงเสียงใกล้ประชาชนหรือพื้นที่ปิด รวมถึงบันทึกและรายงานการใช้งานเพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบได้
คำแนะนำหากอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีการใช้ LRAD
อย่างไรก็ตามผู้ที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งมีการใช้ LRAD สามารถลดความเสี่ยงต่อการได้ยินและสุขภาพได้เช่นกัน
1. หลีกเลี่ยงการอยู่ตรงหน้าอุปกรณ์ LRAD ยืนตรงแนวเสียงอาจได้รับความดังสูงจนเป็นอันตราย ควรขยับออกจากแนวเสียงเพื่อลดความเสี่ยง
2. เพิ่มระยะห่างจากแหล่งกำเนิดเสียง เสียงจะเบาลงราว 6 เดซิเบลทุกครั้งที่ระยะห่างเพิ่มเป็นสองเท่า ยิ่งห่างยิ่งปลอดภัย
3. ใช้เครื่องป้องกันหูที่เหมาะสม โดยสวมที่อุดหูหรือที่ครอบหูเพื่อช่วยลดระดับเสียงและปกป้องระบบการได้ยิน
4. สังเกตอาการผิดปกติและขอความช่วยเหลือ หากมีอาการหูอื้อ เวียนศีรษะ หรือปวดหู ควรออกจากพื้นที่และพบแพทย์หู คอ จมูกทันที
ข่าวที่เกี่ยวข้อง