‘อุ๊ ช่อผกา’ ชี้! เคสปมร้อนคนดังมีพฤติกรรมผิดปกติ-อาจมีปัญหาทางใจ ย้ำคนผิดควรลงโทษ แต่ไม่ควรบูลลี!
เรียกได้ว่ากระแสของคนบันเทิงช่วงนี้กำลังเป็นที่น่าสนใจหนักมาก โดยพฤติกรรมของคนดังที่กำลังเป็นประเด็นในตอนนี้ ก็ได้มีหลายคนออกมาวิเคราะห์ถึงการกระทำดังกล่าวกันเป็นจำนวนมาก อีกทั้งล่าสุด “อุ๊-ช่อผกา วิริยานนท์” อดีตพิธีกรชื่อดัง ที่กำลังผันตัวมาเป็น นักจิตบำบัดมือใหม่ ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับเคสของคนดังที่มีพฤติกรรมแปลกและกำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในสังคม
โดย อุ๊ ช่อผกา เผยว่า “สำหรับเคสคนดังที่เขาเคยบอกว่า อายที่ต้องเจอเพื่อน แล้วเวลาที่จะไปเจอใคร เขาจะก้มหน้าก้มตาไม่ค่อยมั่นใจตัวเอง ถามว่าอันนี้ถือว่าเป็นสัญญาณบ่งบอกอะไรได้บ้าง ซึ่งในความสามารถเท่าที่พี่มี มันเป็นสัญญาณที่ทำให้รู้ว่าข้างในเขาไม่มั่นคง แต่ไม่รู้ว่าไม่มั่นคงในระดับไหน ไม่มั่นคงระดับมีภาวะของความเจ็บปวดหรือว่าเป็นโรค แต่นั่นแปลว่าเขาไม่ได้อยู่ในสภาวะที่จะพร้อมมีความสุขมากกับคนทั่วไป
ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องการความช่วยเหลือ เป็นภาวะที่ต้องการความเข้าใจ และมีสภาวะอ่อนแอแบบนี้แล้วพลาดพลั้ง ไปมีตัวเร่งปฏิกิริยาจนเกิดการกระทำที่คนเห็นแค่แอ็คติ้งตรงนั้น เขา ก็จะถูกตัดสินว่าเลวร้าย แล้วมันก็จะวนกลับมา ทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกเศร้าหมอง จริงๆ แล้วถ้าเราเห็นใครทำความผิด โดยเฉพาะการกระทำที่ผิดกฎหมาย ต้องได้รับการลงโทษตามกฎหมาย แต่ศาล เขา ยังพิจารณาเหตุ พิจารณาเจตนา มันต้องดูให้ครบองค์รวม ถึงจะไปกระหน่ำลงโทษ ก่อนจะลงโทษใคร หาเหตุให้เจอก่อน ถ้ายังไม่เห็นเหตุก็ยังไม่ต้องเหมารวม
สำหรับพี่ พี่คิดว่า ทุกคนสามารถป่วยใจได้ แล้วถ้าใครบางคนป่วยใจ เขา มีพฤติกรรมที่แปลก แล้วคนแปลกๆ เหล่านั้น ไม่พร้อมที่จะโดนด่าค่ะ ซึ่งการที่เราพูดออกมาด้วยความสะใจ หรือกระแส หรือเราเห็นปุ๊บแล้วเราตัดสินจากตรงนั้น มันอาจจะเป็นความสะใจเรา แต่มันอาจจะเป็นบาดแผลที่ยาวนาน แล้วถ้ามันเยอะมากในเวลาที่อ่อนแอมาก แล้วไม่มีคนดูอย่างใกล้ชิด พี่เจอหลายเคสแล้วนะ ทำร้ายตัวเองได้นะ โดยเฉพาะคนดัง นี่พูดเลย“
อดีตพิธีกรดัง เล่าต่อว่า “ไม่รู้ว่าเขาเปราะบางแค่ไหน เพราะฉะนั้นเรื่องชาวบ้านไม่ใช่งานของเรา เพราะงานของเราก็มากพอแล้ว ยุ่งนิดๆ หน่อยๆ พี่ว่าฝึกเมตตากันหน่อยดีไหม เพราะว่าเวลาเราเห็นใครทำอะไรผิดในโซเชียล ก็ด่ารุนแรงเลย มันทำให้เรามีพฤติกรรมความรุนแรงนะ การที่เราเขียนว่าอะไรใครรุนแรง มันอาจจะดูเหมือนสะใจ แต่ความเคยชินในการใช้ความรุนแรง มันจะยังอยู่ในตัวคุณ และมันก็จะเป็นผลเสียในตัวคุณ เพราะฉะนั้นเริ่มต้นฝึกด้วยการเบรกดีกรีความรุนแรงลง 1.0 ก็ได้ แล้วเราก็จะกลับมาอยู่ในเหตุกับผล เรายังวิพากษ์สังคม แต่เรารุนแรงน้อยลง แล้วสิ่งที่ได้คือ คุณยังพิทักษ์ความยุติธรรมให้กับสังคมได้ โดยที่ตัวคุณไม่ทุกข์ เพราะถ้าเชื้อความรุนแรงอยู่ในหัวใจของใคร คนคนนั้นทุกข์นะ เราอย่าทุกข์เพราะความเลวของคนอื่นนะคะ ซึ่งทุกอย่างที่ทำมันมีผลเสมอ ถ้าเราเรียนรู้ตรงนี้สังคมจะน่าอยู่ และเราจะมีความสุขง่ายขึ้น
ส่วนเคสที่เป็นประเด็นดังเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในฐานะนักจิตบำบัดมือใหม่ ไม่ใช่มืออาชีพ พี่คิดว่ามันมีสัญญาณหลายตัวที่พี่เห็นจากคลิปว่า น้องน่าจะมีความป่วยทางจิตใจ แต่ไม่รู้ว่าในระดับไหน ถ้าพี่เป็นทีมที่ดูแลพี่คิดว่าต้องถึงจิตแพทย์ แล้วช่วยพิจารณาว่า ควรได้รับความช่วยเหลืออะไร ส่วนในแง่กฎหมายว่า สมควรไหม ผิดแค่ไหน ก็ว่าไปตามเนื้อผ้า
ไม่ว่าจะเป็นใครสถานภาพไหน คุณก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไทย แต่ก่อนศาลตัดสินศาลก็จะพิจารณาองค์รวม ศาลจะไม่ตัดสินเฉพาะภาพที่เห็น หรือตามกระแสที่คุณพูดถึง หรือตามกระแสที่คนรักมากๆ เพราะไม่ว่ารักมากหรือเกลียดมากก็ไม่ใช่ความจริง ความจริงมันมีอยู่ จะรักหรือจะเกลียดความจริงมันก็อยู่ตรงนี้ เราก็ตัดสินตามความเป็นจริง และอยากให้เพิ่มเมตตากันหน่อย เราอย่าใส่อะไรเยอะเลย สมควรโดนลงโทษได้ แต่ไม่สมควรโดนบูลลี่นะ คนทำผิดติดคุกเรายังให้โอกาสนักโทษ ฝึกนะ เพราะถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่เราทำแบบนั้น สุดท้ายต่อมความรุนแรงจะทำลายความสุขของคุณเอง คุณจะมีความสุขได้ยาก และคุณจะทุกข์ง่าย แล้วสุดท้ายคุณจะป่วยค่ะ”