ภาษีสหรัฐ 19% “ข่าวดี”แฝง“ข่าวร้าย” เศรษฐกิจไทย
*** คอลัมน์ฐานโซไซตี หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ “ลึก ตรงประเด็น เห็นโอกาส” ฉบับ 4,120 “ว.เชิงดอย” ประจำการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ที่มีสาระ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเช่นเคย
*** สหรัฐอเมริกาประกาศปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเหลือ 19% จากเดิมตั้งไว้สูงถึง 36% สร้างความโล่งใจแก่ผู้ประกอบการไทย ที่หวั่นว่า ภาษีจะกดดันจนเสียเปรียบคู่แข่ง โดยพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง สามารถนำทีม “ทีมไทยแลนด์” ต่อรองให้อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐ เรียกเก็บจากไทย ถูกกำหนดไว้ที่ 19% เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. 2568 นับเป็นการตรึงเพดานภาษีให้อยู่ในระดับที่ภาคธุรกิจไทย ยังสามารถแข่งขันได้ แม้การเก็บภาษีดังกล่าวจะสูงกว่าเดิม แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งสำคัญอย่าง เวียดนาม อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย ต่างก็ถูกเก็บในอัตราเดียวกัน หรือ ใกล้เคียงกัน ทำให้การแข่งขันในตลาดสหรัฐ ยังคงอยู่บนพื้นฐานความเสมอภาค
*** ก่อนหน้านั้น มีความกังวลอย่างหนักว่า“ไทย” อาจถูกจัดเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 30-36% ซึ่งจะทำให้เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย ที่ได้รับอัตราต่ำกว่า แต่เมื่อสหรัฐ เคาะภาษีไทยออกมาที่ตัวเลข 19 % หลายฝ่ายมองว่าจะส่ง“ผลดี” ต่อไทย คือ สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ได้ เพราะสหรัฐ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 ของไทย
ในปี 2567 มีมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐ อยู่ที่ 1.9 ล้านล้านบาท หรือ คิดเป็น 18.2% สินค้าหลัก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ สิ่งทอ และ อาหารอัตราภาษี 19% ช่วยให้สินค้าไทยยังแข่งขันได้ ไม่เสียเปรียบ เวียดนาม (20%) และอยู่ในระดับใกล้เคียงกับอินโดนีเซีย (19%)
*** การลดภาษีจากที่กังวลว่า จะสูง ทำให้นักลงทุนต่างชาติมองว่า ไทยยังเป็นฐานการผลิตที่มั่นคง, ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ในกลุ่มเกษตร และ อุตสาหกรรมแปรรูป จะยังคงมีโอกาสเข้าถึงตลาดสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก ขณะที่ “ภาคเอกชน” แสดงความเชื่อมั่น โดยหอการค้าไทย และ สภาอุตสาหกรรม ชี้ว่า การได้ภาษี 19% ถือเป็นชัยชนะเชิงการเจรจา แม้ไม่ใช่อัตราต่ำสุด แต่เพียงพอให้ไทยไม่ตกขบวนการแข่งขันในอาเซียน
*** อย่างไรก็ตาม แม้สหรัฐจะเก็บภาษีไทย 19% แต่ใน“ข่าวดี” ก็ยังมี “ข่าวร้าย” เจือปนอยู่ และเป็นความท้าทายของไทยที่ต้องเผชิญ เนื่องจากภาษีไทยยังสูงกว่าบางประเทศ ไทย เสียเปรียบ สิงคโปร์ และ มาเลเซีย ที่ได้สิทธิภาษีต่ำกว่า 15% โดยเฉพาะสินค้าที่เน้นเทคโนโลยีขั้นสูง ไทยยังต้องเร่งพัฒนาคุณภาพเพื่อลดผลกระทบ ขณะที่ ค่าแรงและพลังงานในไทย ยังสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้แม้ภาษี 19% จะช่วย แต่หากไม่ควบคุมต้นทุน ผู้ประกอบการ SMEs จะเผชิญแรงกดดันหนัก
*** ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แม้ได้ภาษี 19% แต่สหรัฐ อาจเพิ่มมาตรการกีดกันทางการค้าอื่น ๆ เช่น มาตรฐานแรงงาน, สิ่งแวดล้อม, หรือ ข้อกำหนดด้าน traceability (การตรวจสอบย้อนกลับ) ซึ่ง SMEs ไทยหลายรายยังปรับตัวไม่ทัน ประกอบกับ เวียดนาม และ อินโดนีเซีย มีความได้เปรียบด้านแรงงานราคาถูก และได้รับการสนับสนุนจากบริษัทข้ามชาติในด้านโครงสร้างพื้นฐานไทยจึงเสี่ยงเสียตลาดหากไม่เร่งพัฒนาขีดความสามารถ… นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่า หากไทยพึ่งพาสหรัฐ มากเกินไป และเจอมาตรการอื่น ๆ กีดกันในอนาคต “เศรษฐกิจไทย” อาจสะดุด และเสี่ยงหลุดเป้าการเติบโตจีดีพีที่ตั้งไว้
*** ในมุมมองของ ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจาก TDRI เห็นว่า อัตราภาษี 19% ถือว่าใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งของไทยในภูมิภาค จึงไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบมากนัก แต่ตั้งข้อสังเกต ต้องไม่ลืมว่า สินค้าหลายหมวดของไทย เคยได้สิทธิ์ภาษี 0% การถูกปรับขึ้นเป็น 19% จึงถือเป็น “ข่าวร้าย” ที่ย่อมส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย ขณะเดียวกัน เบื้องหลังการได้อัตรา 19% ไทยอาจต้อง “เปิดตลาด” ในบางอุตสาหกรรมให้สหรัฐ พร้อมรับข้อผูกพันเพิ่มเติมด้านมาตรฐานสินค้าและบริการ ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่า มีกี่ข้อ แต่แน่นอนว่าจะเพิ่มแรงกดดันต่อผู้ประกอบการไทย
*** ดร.นณริฏ อธิบายว่า แม้การ Transhipment (นำสินค้าผ่านไทยโดยไม่เปลี่ยนสภาพ) มีเพียง 1% ของการค้าทั้งหมด และไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ “สินค้าสวมสิทธิ์” โดยเฉพาะกรณีสินค้าจากจีนถูกนำเข้ามาในไทย แล้วส่งออกไปสหรัฐ ในฐานะสินค้าสัญชาติไทย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี หากไม่ควบคุมเข้มงวด ไทยเสี่ยงถูกเพ่งเล็งอย่างหนัก ที่สำคัญที่สุด คือ เงื่อนไขในข้อตกลง reciprocal tariff ที่กำหนดให้ไทยต้อง ลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ ลง 70% ภายใน 5 ปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่ท้าทายมาก เพราะปัจจุบันไทยเกินดุลในระดับ “หลักล้านล้านบาท” การทำได้ตามเป้าหมายหมายถึงการลดการส่งออก หรือ เพิ่มการนำเข้าอย่างมหาศาล ส่งผลให้รายได้ผู้ส่งออกไทยหดตัวลงชัดเจน
*** ดร.นณริฏ เสนอทางออกว่า ไทยต้องเร่งหาตลาดใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐ, ลดต้นทุนการผลิตอย่างเป็นระบบ, ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ, เร่งการเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรม (Transformation) โดยภาครัฐสนับสนุนเชิงนโยบายและเงินทุน หากไม่ขับเคลื่อนทันที ไทยอาจเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายอุตสาหกรรม จากการสูญเสียรายได้ และ ตลาดอย่างต่อเนื่อง
*** แม้อัตราภาษี 19% ของสหรัฐ จะถูกมองว่า เป็น“ข่าวดี” ในภาวะวิกฤต แต่ก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ซึ่งภาคเอกชนไทยเห็นตรงกันว่าไทยต้องใช้จังหวะนี้เร่งลดต้นทุนการผลิต, ผลักดันมาตรฐานสินค้าให้เทียบเท่าสากล และ ขยายตลาดใหม่ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาสหรัฐ เพียงตลาดเดียว …หากทำได้ ไทยไม่เพียงแค่รักษาตลาดส่งออกเดิมไว้ได้ แต่ยังอาจก้าวสู่การเป็น ศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาค ที่มั่นคงและยั่งยืนกว่าเดิม
*** ปิดท้ายกันที่… การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประกาศเตรียมเสนอขาย พันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืน EGAT’s Sustainability-Linked Bond : SLB) มูลค่า 2,000 ล้านบาท อายุ 5 ปี ให้กับผู้ลงทุนสถาบัน (ที่มิใช่บุคคลธรรมดา) พันธบัตรดังกล่าวผูกตัวชี้วัดและเป้าหมายด้านความยั่งยืน เข้ากับเงื่อนไขทางการเงินอย่างชัดเจน ทำให้ กฟผ. กลายเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งแรกที่ออก SLB ภายใต้กรอบการระดมทุนเพื่อความยั่งยืน การดำเนินการครั้งนี้สอดคล้องกับเป้าหมายระดับประเทศ ได้แก่ Carbon Neutrality ภายในปี 2593, Net Zero Emissions ภายในปี 2608 ทั้งยังตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทน ควบคู่กับการสร้างอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน สำหรับกำหนดการเปิดจองซื้อ SLB คือวันที่ 11-12 กันยายน 2568 และจะออกพันธบัตรอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 กันยายน 2568
คอลัมน์ฐานโซไซตี โดย…ว.เชิงดอย หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4120