BAM ปรับโมเดลธุรกิจ จาก ‘ปู่โสมเฝ้าทรัพย์’ สู่โรงงานแก้หนี้ NPL/ NPA
บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ประกอบธุรกิจรับบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ทั้ง NPL และ NPA (สินทรัพย์รอการขาย) ซึ่งในยุคปี 40 หลังวิกฤตต้มยำกุ้งธุรกิจนี้ถือว่ามีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมาก
แม้ปัจจุบันสถาบันการเงินของไทยจะแข็งแกร่งแต่ปัญหาเรื่องหนี้ด้อยคุณภาพในระบบการเงินไทย ก็ยังจำเป็นต้องอาศัยบทบาทของธุรกิจ AMC (Asset Management Company) อยู่ดี และพันธกิจของ BAM ยังคงช่วยแก้ไขสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของประเทศจากสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพของสินทรัพย์ ที่มีคุณภาพและหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบัน BAM มี NPL ที่อยู่ในความดูแล 91,009 ราย คิดเป็นภาระหนี้เงินต้น 487,117 ล้านบาท และ NPA จำนวน 28,043 รายการ คิดเป็นราคาประเมิน 77,812 ล้านบาท
ความเคลื่อนไหวของ BAM คือตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา มี CEO ท่านใหม่ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร อดีตกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM Bank มาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ BAM และล่าสุดได้แถลงผลประกอบการครึ่งปีแรกกวาดกำไร 1,511 ล้านบาท พร้อมปรับเกมรุกธุรกิจในครึ่งปีหลัง
ผลงาน BAM ครึ่งแรกปี 2568
ผลงานในครึ่งแรกปี 68 BAM มีผลเรียกเก็บสูงถึง 10,154 ล้านบาท โตขึ้นถึง 36% เมื่อเทียบกับปีก่อน ที่มีผลเรียกเก็บ 7,493 ล้านบาท
ส่วนเฉพาะไตรมาสที่ 2 ผลเรียกเก็บอยู่ที่ 6,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118% จากไตรมาสแรก ที่มีผลเรียกเก็บ 3,192 ล้านบาท
ทำให้ BAM มีกำไร 1,511 ล้านบาท เติบโต72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 880 ล้านบาท และมั่นใจเกินเป้าหมายผลเรียกเก็บทั้งปี 68 ที่ตั้งไว้ 17,800 ล้านบาท
ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวถึงผลการดำเนินงานครึ่งแรกปี 2568 ว่า ผลงานทางด้าน NPL ยังใช้แนวทางที่ให้โอกาสลูกหนี้ในการได้หลักประกันซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยหรือที่ทำกินกลับคืนไปด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรน และมุ่งช่วยเหลือลูกหนี้ให้สามารถฟื้นฟูกิจการหรือสถานะทางการเงินของตน โดยปรับโครงสร้างหนี้และหาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกัน ด้วยกระบวนการ Recycling Machine ซึ่งมีเป้าหมายในการเร่งสร้างโรงงานแก้หนี้ (TDR Factory) เพื่อฟื้นฟูให้ลูกหนี้กลับมามีสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้น ซึ่ง BAM สามารถสร้างรายได้จากการปรับโครงสร้างหนี้ NPL ลูกหนี้รายใหญ่รายหนึ่งได้ข้อยุติถึง 2,800 ล้านบาท
ส่วนการบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย หรือ NPA ใช้กลยุทธ์พันธมิตรทางธุรกิจ (NPA Partnership) มุ่งขยายฐานธุรกิจและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ผ่านความร่วมมือกับบริษัทพันธมิตรที่มีศักยภาพ อาทิ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ บริษัท วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารยูโอบี ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดย BAM เน้นคัดสรรและนำเสนอทรัพย์ NPA ขนาด Big Lots ให้พันธมิตรนำไปพัฒนาและเพิ่มมูลค่า ทั้งบ้านเดี่ยว อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม และที่ดินเปล่า เพื่อพลิก “ทรัพย์ร้าง” ให้กลายเป็น “ทรัพย์สร้างกำไร” ต่อยอดเป็นทรัพย์สินที่สร้างรายได้ให้กับ BAM อย่างต่อเนื่อง ลดระยะเวลาการถือครอง และสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว
ทิศทางและกลยุทธ์ของ BAM ในครึ่งปีหลัง 2568 เปลี่ยน NPL เป็น RPL
ความน่าสนใจของการทำธุรกิจของ BAM ในครึ่งปีหลังนี้ ดร.รักษ์ฯ ระบุว่า มีแนวคิดกลยุทธ์เชิงรุกทั้งด้าน NPL/NPA ด้วยแนวทาง Stronger Together โดยการเปลี่ยน Model “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” มาสู่ Model ธุรกิจใหม่ ภายใต้แนวคิด “Opportunities for All” ที่ให้โอกาสลูกหนี้ NPL พลิกฟื้นกลับมาเป็นลูกหนี้ Reperforming Loan (RPL) ด้วยกลยุทธ์ TDR Factory และโครงการ FA Center
ขณะเดียวกัน BAM ยังมีหน้าที่ในการช่วยกลั่นกรองและปรับสภาพหนี้ (Buffer) ของลูกหนี้ เพื่อเป็นการลดภาะหนี้ของสถาบันการเงิน และจะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยสินเชื่อออกมาได้มากขึ้น ส่วนทางด้าน NPA ยังเดินหน้าความร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรที่เป็น Developers ทั้งขนาด S M L ในรูปแบบ Model ที่ Developers จะเข้ามา flipping และขายให้กลุ่มลูกค้าของตนเอง
ดร.รักษ์ฯ ยังได้พูดถึงโครงการ “ทรัพย์มหาชน” ที่จะเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้ด้วย โดยโครงการนี้มุ่งเน้นช่วยคนตัวเล็ก คือสำหรับผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยราคาไม่แพง สามารถผ่อนชำระกับ BAM โดยตรง หรือผ่อนชำระกับสถาบันการเงินพันธมิตรที่ปล่อยสินเชื่อเงื่อนไขพิเศษให้กับลูกค้าที่ซื้อทรัพย์ BAM ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวไม่เพียงช่วยให้ BAM ยืนหยัดได้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง แต่ยังแปรเปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสที่จะสร้างการเติบโตให้กับ BAM