ตั้งเป้าจีดีพีโต2% ชูปรับโครงสร้าง แก้ปมภาษีทรัมป์
“สภาพัฒน์” เผย GDP ไตรมาส 2/68 ขยายตัว 2.8% ปรับเป้าทั้งปี 68 โต 2% ผลพวงการส่งออก-ลงทุนภาคเอกชน-การผลิตภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวต่อเนื่อง ยันสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่กระทบเศรษฐกิจ "พิชัย" หนุนปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ยกเครื่องภาคส่งออก-ท่องเที่ยว-เกษตร-อุตสาหกรรม หวังช่วยดันจีดีพีปี 68 โตทะลุ 2% พร้อมเข้มออกใบแสดงถิ่นกำเนิดสินค้า แก้ปมสินค้าสวมสิทธิภาษีสหรัฐฯ
เมื่อวันจันทร์ นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่ 2/2568 ขยายตัวร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สศช.ได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 เป็น 1.8-2.3% (ค่ากลางอยู่ที่ 2.0%) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่เคยประมาณการไว้เดิมเมื่อเดือน พ.ค. 68 ที่ 1.3-2.3% (ค่ากลางอยู่ที่ 1.8%) โดยเหตุผลสำคัญที่ปรับประมาณการ GDP เพิ่มขึ้นนั้น มาจากสถานการณ์ด้านการส่งออก และการลงทุนของภาคเอกชนในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้น การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการผลิตเพื่อเร่งส่งออกสินค้าไปยังประเทศปลายทาง ก่อนที่มาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ในเดือน ส.ค.ที่จะถึง
สำหรับเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/68 จะยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง เพียงแต่อาจจะเติบโตได้ต่ำกว่าช่วง 2 ไตรมาสแรกที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ยังไม่ได้รวมเรื่องปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองไว้ในประมาณการใหม่ เนื่องจากมองว่าขณะนี้กระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ใกล้จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจได้ตามปกติ
“การลงทุนของรัฐและเอกชนจะเป็นตัวสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีนี้ และต้องเร่งรัดปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนต่างประเทศ เพื่อให้การส่งออกและการลงทุนสามารถขยายตัวต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการเร่งทำตลาดการท่องเที่ยวในตลาดระยะไกล ด้วยการต้องสร้างกิจกรรมใหม่ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว พร้อมดูแลความปลอดภัย ชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวควบคู่กัน” นายดนุชากล่าว
นายดนุชากล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังประเด็นที่มีความกังวลคือ การลงทุนของภาครัฐและเอกชนที่ต้องขับเคลื่อนให้ขยายตัว ขณะเดียวกันต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้การส่งออกยังคงขยายตัวได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนในช่วงรอการพิจารณารายละเอียดภาษีสหรัฐฯ
ทั้งนี้ แม้ว่าภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ จะชัดเจนแล้วว่าจะจัดเก็บจากสินค้าไทย 19% แต่ก็ความเสี่ยงในรายสินค้าเฉพาะเจาะจง (Specific Tariffs) ประเทศไทยจึงต้องเร่งเตรียมการไม่ให้เกิดปัญหาในช่วงถัดไป ขณะเดียวกันยังต้องเร่งดูแลเรื่องปัญหาการสวมสิทธิในสินค้าส่งออก (Transshipment) โดยต้องมีการกำกับดูแลให้เข้มงวดมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการสวมสิทธิ เพราะถ้าช่วงถัดไปนี้ถูกตรวจสอบพบว่ามีการสวมสิทธิจะเกิดปัญหาตามมาอีกได้
ส่วนสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชานั้น เชื่อว่าจะไม่ส่งผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจะอยู่ในวงจำกัดภายในพื้นที่ตามแนวชายแดน ซึ่งไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของภาคการผลิตสำคัญ ส่วนกรณีการขาดแคลนแรงงานกัมพูชาในบางกิจการนั้น ก็สามารถดึงแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เข้ามาช่วยทดแทนได้ ดังนั้นเชื่อว่าผลกระทบกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา จะไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่การปรับลดจำนวนการคาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติจาก 37 ล้านคนเหลือ 33 ล้านคน จากไตรมาส 2 เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง 12% และนักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมาตามที่คาดไว้ แต่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อรายจะดีขึ้น โดยมีการตั้งปรับเป้านักท่องเที่ยวจีนจาก 6 ล้านคน เหลือ 4 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ส่วนกรณีภาษี Reciprocal Tariff ที่สินค้าไทยจะถูกเรียกเก็บจากสหรัฐฯ นั้น หากมองอีกมุมหนึ่งถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะเร่งปรับโครงสร้างการผลิตของประเทศ และสร้าง Supply Chain ให้กว้างขวางขึ้น ตลอดจนการนำเทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆ ที่ทันสมัยมาใช้ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยในระยะอีก 2-3 ปีข้างหน้าเติบโตได้ดีขึ้น ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลังมีแนวคิดสนับสนุนนโยบายสวัสดิการ ในลักษณะ Negative Income Tax ที่คาดว่าจะเริ่มใช้ปี 70 นั้น สศช.กำลังเร่งปรับปรุงข้อมูลเส้นแบ่งความยากจนให้เป็นปัจจุบัน คาดจะแล้วเสร็จช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า ซึ่งกระทรวงการคลังสามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้ได้ ซึ่งประเด็นดังกล่าวได้มีการหารือมาระยะหนึ่งแล้ว
ด้านนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง กล่าวถึงกรณีที่ สศช.ปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2568 เพิ่มเป็น 2% จากเดิมที่ 1.8% ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจในขณะนี้ต้องยอมรับว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามากระทบ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจโลก ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ การย้ายถิ่นฐานการผผลิต รวมถึงมาตรการภาษีสหรัฐฯ โดยในส่วนของมาตรการภาษีนั้น ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยแย่ไปกว่าเดิม ไทยยังมีปัญหาเหมือนเดิมตั้งแต่ก่อนมีปัญหาดังกล่าวเข้ามา และเมื่อมีปัญหามาตรการภาษีสหรัฐฯ เข้ามาทุกประเทศก็ชะลอตัวลงกันหมด
"ดังนั้นไทยอาจจะถือโอกาสนี้ ในการเริ่มปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยปัญหาหลักเกิดกับภาคการส่งออก ซึ่งส่วนหนึ่งมีที่มาจากภาคการท่องเที่ยว การผลิตภาคเกษตร และการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ยังเป็นแบบดั้งเดิม ก็ถึงเวลาที่จะต้องปรับให้เป็นรูปแบบใหม่ เชื่อว่าหากเศรษฐกิจไทยสามารถปรับโครงสร้างเศรษฐกิจได้ ก็มีโอกาสที่ปี 2568 ตัวเลขจีดีพีจะขยายตัวได้มากกว่า 2%"
สำหรับเรื่องมาตรการภาษีสหรัฐฯ ในส่วนของสินค้าสวมสิทธิผ่านทาง (Transshipment) นั้น รมว.การคลัง ระบุว่า หากเป็นสินค้า Transshipment โดยสมบูรณ์ไทยมีความกังวลน้อยมาก เมื่อเทียบกับสินค้า transshipment ที่ผ่านเข้ามาแล้วแทบไม่ได้ทำอะไรเลย แต่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพราะตรงนี้ไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรเท่าไหร่ ไม่มีมูลค่าเพิ่ม และไทยก็ไม่สนับสนุนเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ดังนั้นวิธีการที่ดีที่สุดคือ การเข้าไปเข้มงวดในการออกใบแสดงถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) หากไทยมีการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้า และไม่ออกแสดงถิ่นกำเนิดสินค้าให้แก่สินค้าที่เป็น Transshipment เมื่อสินค้าเหล่านี้ส่งออกไม่ได้ก็ขายไม่ได้
นายพิชัยกล่าวว่า ในส่วนของงบประมาณปี 2569 ที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเรียบร้อยแล้วนั้น ยืนยันว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาติดขัดอะไร ในส่วนของกระทรวงการคลัง และรัฐบาลสามารถอธิบายทุกมาตราได้อย่างชัดเจนว่า เม็ดเงินแต่ละส่วนมีการใช้จ่ายเพื่ออะไรบ้าง และยอมรับว่าจากการอภิปรายมีหลายประเด็นที่น่าสนใจ กระทรวงการคลังพร้อมที่จะรับมาพิจารณาเพื่อดูว่าอะไรที่สามารถปรับปรุงได้ในปีงบประมาณดังกล่าว หรืออะไรที่จะปรับปรุงได้ในปีงบประมาณต่อไป.