จับตาภูเขาไฟ “ไอซ์แลนด์” ปะทุครั้งที่ 12 ในรอบ 4 ปี สั่งอพยพด่วน!
เกิดเหตุการณ์ภูเขาไฟปะทุบริเวณ “คาบสมุทรเรคยาเนส” ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไอซ์แลนด์ โดยมีลาวาสีส้มแดงพวยพุ่งออกมาจากปากปล่องอย่างรุนแรง เผาทำลายพื้นที่โดยรอบ ส่งผลให้ทางการเร่งดำเนินการอพยพประชาชนและนักท่องเที่ยวออกจากพื้นที่เสี่ยงใกล้จุดปะทุ
เหตุการณ์ปะทุครั้งนี้นับเป็นหนึ่งในการระเบิดของภูเขาไฟหลายครั้งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยเฉพาะในพื้นที่คาบสมุทรเรคยาเนส ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง “เรคยาวิก” สร้างความวิตกกังวลในวงกว้าง เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีประชาชนอาศัยอยู่ รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ
จากภาพถ่ายที่เผยแพร่ผ่านสื่อท้องถิ่นและสื่อสังคมออนไลน์ สามารถเห็นลาวาร้อนพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และไหลออกตามแนวรอยแยกบนพื้นดิน กระจายไปทั่วบริเวณภูเขาไฟ โดยหน่วยงานธรณีวิทยาของไอซ์แลนด์รายงานว่า การปะทุครั้งนี้มีความรุนแรงพอสมควร และยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะยุติเมื่อใด
ท่าอากาศยานนานาชาติเคฟลาวิก ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมืองหลวงของไอซ์แลนด์ ยังคงเปิดให้บริการตามปกติในเบื้องต้น อย่างไรก็ตาม ทางการยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อความปลอดภัย และอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกเที่ยวบินหากสถานการณ์แย่ลง
ในขณะเดียวกัน มีรายงานว่า มีการอพยพผู้คนออกจากพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่าง “บลูลากูน” (Blue Lagoon) รีสอร์ทสปาน้ำแร่ชื่อดังของประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณใกล้จุดปะทุ เช่นเดียวกับในเมือง “กรินดาวิค” (Grindavík) ที่เคยมีประชากรอาศัยอยู่เกือบ 4,000 คน แต่ในปัจจุบันแทบจะกลายเป็นเมืองร้าง เนื่องจากความเสี่ยงจากทั้งภูเขาไฟและแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในพื้นที่นี้
ไอซ์แลนด์ได้รับสมญานามว่าเป็น “ดินแดนแห่งน้ำแข็งและไฟ” เนื่องจากมีทั้งธารน้ำแข็งจำนวนมาก และยังเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟกว่า 130 ลูก ซึ่งบางลูกยังคงมีพลังอยู่ โดยเฉพาะในพื้นที่คาบสมุทรเรคยาเนสที่มีแนวรอยเลื่อนทางธรณีวิทยาสำคัญพาดผ่าน ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวใต้พื้นดินอย่างต่อเนื่อง
นับตั้งแต่ปี 2021 ที่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลภูมิประเทศและการเคลื่อนไหวของแผ่นดินอย่างละเอียดในพื้นที่คาบสมุทรเรคยาเนส พบว่ามี การปะทุของภูเขาไฟเกิดขึ้นแล้วไม่ต่ำกว่า 12 ครั้ง ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ซึ่งนักธรณีวิทยามองว่า เป็นสัญญาณของการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของเปลือกโลกในพื้นที่นี้ที่อาจดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง
แม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะยังไม่ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อโครงสร้างพื้นฐานหรือระบบคมนาคมหลักของประเทศ แต่ทางการยังคงเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด และเตรียมแผนรับมือเพิ่มเติมหากการปะทุยืดเยื้อหรือขยายวงกว้าง โดยประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงได้รับคำแนะนำให้อยู่ในความสงบ และติดตามประกาศจากทางการอย่างใกล้ชิด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง