การพัฒนายั่งยืนย่อมไม่ลืมฐานราก
เสรี พงศ์พิศ
FB Seri Phongphit
การเล่นคำสำนวนโวหารเป็น “วาทศิลป์” (rhetoric) การใช้ภาษา วลี ประโยค ที่ก่อเกิดการเสวนาปะทะสังสรรค์ทางปัญญาเรียกว่า “วาทกรรม” (discourse)
“การพัฒนายั่งยืน” เช่นเดียวกับ “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็น “วาทกรรม” มีการแถเถียง ตีความ นำมาหาความหมายในทางปฏิบัติ จนหลายครั้งกลายเป็น “สูตรสำเร็จ” ที่ไม่มีถกหรือเถียงกันอีก
ด้วยฐานคิดเช่นนี้ อยากขยายความสิ่งที่ภาคธุรกิจเสนอแนวคิดแนวทางการพัฒนายั่งยืนที่สอดคล้องกับ SDGs (Sustainable Development Goals 2015-2030) ของสหประชาชาติที่ไทยเราก็ไปลงนามด้วย
เห็นด้วยกับความพยายามของภาคธุรกิจที่เสนอ 3D แต่คิดว่า “ไม่พอ” ควรพิจารณาปัจจัยอื่น มิติอื่นที่จะทำให้เกิดความยั่งยืนได้จริงและทั้งสังคมโดยรวม ไม่ใช่แต่ทางภาคธุรกิจ หรือในประเด็นที่ตนเองต้องการ ขณะที่การพัฒนายั่งยืนจริง ๆ ควรหยั่งรากถึงประชาชน
หนึ่งในวาทกรรมที่ถูกนำเสนอและเริ่มถูกนำไปใช้โดยองค์กรขนาดใหญ่ ได้แก่ แนวทาง 3D ได้แก่
Digitalization: การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัล Deglobalization: การทบทวนกระแสโลกาภิวัตน์เพื่อคืนอำนาจให้ท้องถิ่น Decarbonization: การลดการปล่อยคาร์บอนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แม้ว่าทั้งสามแนวทางนี้มีความสำคัญ แต่หากหยุดอยู่เพียงแค่นี้ อาจกลายเป็นการ “รีแบรนด์ตัวเอง” ของทุนใหญ่โดยไม่แตะต้องรากเหง้าของปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้ความเหลื่อมล้ำดำรงอยู่
จึงอยากเพิ่มเติมอีก 3D ที่ขาดไม่ได้ คือ Democratization, Decentralization, Decapitalization สาม D ที่ไปไกลกว่าเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม
Democratization (ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจและอำนาจ) ความยั่งยืนจะไม่เกิดขึ้นได้หากประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิร่วมกำหนดทิศทางการพัฒนา และไม่มีเสียงในการจัดสรรทรัพยากร โครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่กระจายอำนาจการตัดสินใจสู่ท้องถิ่นและประชาชนเป็นหัวใจของการเปลี่ยนแปลงนี้
Decentralization (การกระจายอำนาจอย่างแท้จริง) การบริหารที่กระจุกอยู่ที่ส่วนกลางไม่ว่าในภาครัฐหรือภาคธุรกิจ ขัดขวางความสามารถของชุมชนในการออกแบบอนาคตของตนเอง การกระจายอำนาจจึงไม่ใช่แค่การส่งผ่านภารกิจ แต่ต้องมาพร้อมทรัพยากรและอำนาจที่แท้จริง
Decapitalization (การลดการผูกขาดทุนใหญ่และการกระจายทุนสู่รากหญ้า) คำนี้อาจยังไม่เป็นที่คุ้นเคย แต่โดยเนื้อหา หมายถึงการทอนอำนาจของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่ผูกขาดเศรษฐกิจ และสนับสนุนระบบเศรษฐกิจใหม่ที่เอื้อให้ชุมชน ธุรกิจเล็ก และผู้คนทั่วไปมีทุนและเครื่องมือในการสร้างอนาคตของตนเอง ทั้งในรูปแบบของ “ทุนชุมชน” “ธนาคารเพื่อชุมชน” และ “ธุรกิจที่ชุมชนเป็นเจ้าของ”
แต่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างข้างต้นจะไม่เกิดผลหากปราศจากการสร้างรากฐานในระดับปัจเจกและชุมชน ซึ่งประกอบด้วย 3E คือ
Education (การเรียนรู้เพื่อปลดปล่อย ไม่ใช่เพื่อจำยอม) การศึกษาต้องไม่ใช่เครื่องมือของระบบเพื่อผลิตแรงงาน แต่ต้องเป็นกระบวนการของการตื่นรู้ เพื่อเข้าใจตนเอง เข้าใจโลก และกล้าตั้งคำถามกับโครงสร้าง
Emancipation (การปลดปล่อยจากโครงสร้างที่จำกัดศักยภาพ) ชุมชนต้องได้รับการสนับสนุนให้หลุดพ้นจากพันธนาการทางโครงสร้าง ทั้งด้านหนี้สิน การเข้าถึงทรัพยากร ความรู้ และความเหลื่อมล้ำทางโอกาส เพื่อให้สามารถฟื้นฟูศักดิ์ศรีของตนเองได้ (อย่างการเป็นอิสระ 7 อย่างของ “อินแปง”)
Empowerment (การสร้างพลังให้ประชาชนสามารถกำหนดชีวิตตนเองได้) ไม่ใช่เพียงให้ "ความช่วยเหลือ" แต่ต้องเป็นการสร้างระบบที่ คืนอำนาจแก่ประชาชน ให้สามารถคิดได้ ตัดสินใจได้ เลือกได้ ออกแบบ และสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยตนเองได้อย่างมั่นคง นำไปสู่การพึ่งพาตนเอง
อยากเน้นว่า ความยั่งยืนที่หยั่งราก (Sustainability from below) คือเงื่อนไขของการพัฒนายั่งยืนในระยะยาว ที่ต้องเปลี่ยนจากแนวคิดที่มองจาก “ข้างบน” โดยองค์กรระดับโลก รัฐ หรือทุนขนาดใหญ่ สู่แนวทางที่ “หยั่งราก” (rooted) ในประชาชน โดยเฉพาะคนเล็กคนน้อยและชุมชนท้องถิ่น
การผนวก 3D ของภาคเอกชนเข้ากับ 3D และ 3E จากภาคประชาชน จึงเป็นการรวมพลังจากสองฟากฝั่ง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านที่ไม่เพียง “เขียว” หรือ “ดิจิทัล” แต่ยัง “เป็นธรรม” “ทั่วถึง” และ “ลึกซึ้ง”
เพราะสุดท้ายแล้ว ความยั่งยืนไม่ใช่แค่เรื่องของนโยบาย หรือเทคโนโลยี แต่คือเรื่องของคนที่มีศักดิ์ศรี มีพลัง และมีสิทธิในการร่วมสร้างอนาคตของตนเอง
ทั้งนี้ต้องระลึกถึงฐานคิดหลักของ SDGs ที่มี 3 ฐาน คือ Bottom up, Human Dignity, Sufficiency
Bottom up การพัฒนายังยืนต้องมาจาก “ข้างล่าง” เหมือนการสร้างบ้านที่มาจากฐานรากที่มั่นคง ไม่ใช่คิดเองสั่งเองจาก “ข้างบน” (top down) ด้วยความเชื่อว่าประชาชน “โง่ จน เจ็บ” ของอำนาจฝ่ายบริหารบ้านเมือง
Human dignity การพัฒนาที่คำนึงถึงศักดิ์ศรีของมนุษย์ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะ เด็ก สตรี คนพิการ ผู้สูงอายุ คนชายขอบ ให้โอกาสคนเข้าถึงการศึกษาและการพัฒนา ทุนและเทคโนโลยี
Sufficiency การพัฒนาที่เน้น “ความพอเพียง” เพราะ “ทรัพยากรในโลกมีเพียงพอสำหรับทุกคน แต่ไม่พอสำหรับความโลกของคนไม่กี่คน” (มหาตมะคานธี)
ถ้าหากภาคธุรกิจเป็นส่วนหนึ่งของ “ประชาสังคม” (civil society) จริงก็ไม่ควรจำกัดอยู่แต่เพียง 3D แรก แต่รวม 3D หลัง พลังที่ไม่ใช่ของประชาชนเท่านั้น แต่เป็นพลังสังคมโดยรวมที่รอ “การระเบิดจากข้างใน”
อย่างที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงสอน พระองค์ผู้ทรงพัฒนาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ฐานคิดหลักที่สามของ SDGs